นายภูมิจิตต์  พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า ตามที่กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ โดยอาจใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียวตามที่ส่วนใหญ่ใช้กัน คือ เก็บภาษีตามปริมาณอย่างเดียวซึ่ง ยสท.มองว่าภาษีอัตราเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนได้ 

“ที่ผ่านมา ยสท. ได้ศึกษาเรื่องการจัดเก็บภาษีบุหรี่ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พบว่ามีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ในอัตราที่สูงขึ้น โดยมุ่งหวังแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ลดปริมาณการบริโภค และเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐ 

นอกจากนี้ นโยบายด้านภาษีไม่ควรคำนึงถึงอัตราสัดส่วนในการจัดเก็บภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาให้รอบด้านในกรอบของ 3 มิติ คือ มิติทางด้านสุขภาพ มิติทางด้านเศรษฐกิจ และมิติทางสังคม ผู้มีผลกระทบ”

นายภูมิจิตต์ กล่าวว่า บุหรี่ผิดกฎหมายไม่ได้เสียภาษีเข้ารัฐ จึงมีราคาถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมาย 2-3 เท่าตัว เมื่อบุหรี่แพงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของประชาชน ก็จะยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้คนหันมาสูบบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น ประเทศไทยเองกำลังเผชิญกับปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายอย่างหนักหน่วง ผลพวงจากการปรับโครงสร้างภาษีที่ผ่านมา ส่งผลให้บุหรี่ต่างประเทศนำเข้า ใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาขายปลีกซึ่งสวนทางกับภาษี ผู้บริโภคจึงหันไปสูบยาเส้นและบุหรี่ต่างประเทศนำเข้ามากขึ้น

สำหรับการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบกับ ยสท. ทั้งโดยตรงและในภาพรวมอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการจำหน่ายบุหรี่ของ ยสท. ที่ลดลง  ทำให้ ยสท. จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตลงด้วยการตัดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรลดลง 50% ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร

นอกจากนี้ ทำให้ปริมาณการสูบบุหรี่ถูกกฎหมายในประเทศไทยหดตัวลดลงเป็นอย่างมาก โดยในปี 66 ภาษีทั้งหมดที่เก็บได้จากการขายบุหรี่อยู่ที่ 70,000 ล้านบาท แต่เป็นรายได้ที่ถูกบุหรี่หนีภาษีลิดรอนไปแล้วถึง 25% หรือคิดเป็นมูลค่าภาษีที่หายไปกว่า 23,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา การลักลอบนำบุหรี่ผิดกฎหมาย มีปริมาณการสูบบุหรี่เถื่อนมากกว่า 70% ของการสูบบุหรี่ทั้งหมดในพื้นที่ภาคใต้

ทั้งนี้ จากข้อมูลการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมายในปี 66 พบว่าแนวโน้มบุหรี่ที่ไม่ได้เสียภาษีมีสัดส่วนสูงถึง 22.3% เพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 65 ที่มีสัดส่วนเพียง 15.5% นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจุบันมีบุหรี่ที่มิได้เสียภาษีแพร่ระบาดเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็วเกือบ 2 เท่าตัว ภายในระยะเวลา 6 เดือน