เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. และนายสมบัติ ลีลาพตะ รรท.รองเลขาธิการ กสทช. ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติการตามยุทธการ Stop Scam Network ตัดวงจรแก๊งโจรออนไลน์ โดยจับกุมคดีอาชญากรรมทางออนไลน์ 3 คดี

คดีแรก เข้าตรวจค้นร้านจำหน่ายเครื่องวิทยุคมนาคม 2 แห่ง ใน จ.สตูล และย่านทุ่งครุ กรุงเทพฯ จำหน่ายเครื่องวิทยุคมนาคม ประเภทเครื่องรับ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์เพื่อนำไปใช้รับหรือแปลงสัญญาณในการรับรายการของกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ อีกทั้งลักลอบผลิต นำเข้า จำหน่าย กล้องวงจรปิดไร้สายที่มีการใช้งานคลื่นความถี่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของ กสทช. โดยไม่ผ่านการอนุญาตและตรวจสอบรับรองมาตรฐานตามที่ กสทช. กำหนด โดยตรวจยึดของกลาง อาทิ กล่องรับสัญญาณ, กล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม, จานรับสัญญาณดาวเทียมและหัวรับสัญญาณ เป็นต้น

คดีที่สอง จับกุมเครือข่ายโทรฯ หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน โดยจับกุม 4 ใน 7 ผู้ต้องหา ซึ่งขบวนการนี้ จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของทางผู้ให้บริการเครือข่ายแจ้งว่ามีบัญชีหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายถูกระงับการใช้งาน ซึ่งหากผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะให้ติดต่อผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ และแจ้งว่าผู้เสียหายกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินแนะนำให้แจ้งความ โดยคนร้ายจะส่งลิงก์เข้าไปให้ผู้เสียหายดาวน์โหลด ก่อนที่ผู้เสียหายจะติดตั้งแอป ก็จะทำการดูดเงินไป ซึ่งคดีนี้มีผู้เสียหายสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าขบวนการนี้ เมื่อได้เงินจากผู้เสียหายไปก็จะโอนเข้าไปยังบัญชีที่การตลาดเตรียมไว้ จากนั้นก็จะกดโดยใช้ระบบโพยก๊วนซึ่งตั้งอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยจากนี้จะประสานงานเพื่อขยายผลกับกลุ่มผู้กระทำความผิดต่อไป

นอกจากนี้ยังจับกุม นายนันทวุฒิ อายุ 42 ปี หลังสืบทราบว่าเป็นแอดมินเพจ ป้ายทะเบียนปลอมส่งขายออนไลน์ มีพฤติกรรมรับทำป้ายทะเบียนรถทุกชนิด โดยตรวจยึดป้ายทะเบียนปลอม 109 แผ่น สอบสวนให้การรับว่า ก่อนหน้านี้ได้เปิดร้านทำกรอบป้ายกันน้ำให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ต่อมาปี 2564 ได้เริ่มเห็นช่องทางการสร้างรายได้ทางออนไลน์ จึงได้สร้างเฟซบุ๊กแฟนเพจและกลุ่มลับเพื่อรับทำป้ายปลอม โดยคิดค่าจัดทำแผ่นป้ายทะเบียนปลอมจากลูกค้าที่สนใจ ในราคาแผ่นละ 600-1,000 บาท โดยในแต่ละเดือนมีลูกค้าจากทั่วประเทศติดต่อเข้ามาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้ ประมาณ 30,000-50,000 บาทต่อเดือน เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการฯ โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.5 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป