วันนี้(27 ก.ย.)พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองประธาน กสทช.) เปิดเผยว่า กสทช. ได้วางแผนการดำเนินงานในการพิจารณาอนุญาต ให้ใช้คลื่นความถี่ และประกอบกิจการกระจายเสียง  หรือโรดแม็พ(Roadmap) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านระบบการ ใช้งานคลื่นความถี่วิทยุ กระจายเสียงไปสู่ระบบการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่ และประกอบกิจการกระจายเสียง

โดยปัจจุบันผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1 ผู้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่ เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียงตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ กำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ. องค์กรฯ) ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 509 สถานี แบ่งเป็นระบบ เอฟเอ็ม 313 สถานี และระบบ เอเอ็ม จำนวน 196 สถานี และ 2. ผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,371 สถานี แบ่งเป็นประเภทบริการชุมชน 263 สถานี บริการสาธารณะ 692 สถานี และบริการทางธุรกิจ 3,416 สถานี

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียงตามมาตรา 83 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรฯ นั้น ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 76/2559 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้กำหนดให้ระยะเวลาในการถือครองคลื่นความถี่ของผู้รับอนุญาตตามมาตรา 83 ดังกล่าว สิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2565

สำหรับผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง เดิม กสทช. ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อให้มีสถานะเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว ตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว (วิทยุกระจายเสียงชุมชน) ต่อมาในปี 2555 กสทช. ได้ออกประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 และกำหนดให้ผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการ โดยสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้สอดคล้องตามประเภทการให้บริการได้ 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทบริการชุมชน บริการสาธารณะ และบริการทางธุรกิจ

ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีแดงหมายเลขที่ อ.1365/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ให้เพิกถอนข้อ 7 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 ที่กำหนดสิทธิในการยื่นคำขอทดลองประกอบกิจการว่าผู้ยื่นจะต้องเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว หรือวิทยุชุมชนมาก่อน ทำให้ผู้ที่ประกอบกิจการวิทยุธุรกิจอยู่เดิมไม่สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตได้ อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังขัดกับมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรฯ ที่บัญญัติให้การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ต้องคำนึงถึงการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ประเภทบริการทางธุรกิจให้ใช้วิธีคัดเลือกโดยวิธีการประมูลคลื่นความถี่ โดยการเพิกถอนดังกล่าวมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ

 ทั้งนี้ในการดำเนินการตาม โรดแม็พ  นั้น กสทช. จะพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในระบบ เอฟเอ็ม จำนวน 313 คลื่นความถี่ และระบบเออ็ม จำนวน 196 คลื่นความถี่ โดยการพิจารณาอนุญาตในประเภทบริการสาธารณะ จะพิจารณาตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ส่วนการพิจารณาอนุญาต ในประเภทบริการทางธุรกิจ จะดำเนินการโดยวิธีการประมูล ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 เม.ย.65

 พันเอก ดร.นที กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้การเปลี่ยนผ่านการทดลองประกอบกิจการกระจายเสียง เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 65 เป็นต้นไป โดยให้มีการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ด้วยกำลังส่งต่ำในประเภทบริการชุมชน และบริการสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 65 ส่วนผู้ประกอบกิจการประเภทบริการทางธุรกิจให้ดำเนินการยื่นคำขอ ทดลองออกอากาศวิทยุกระจายเสียงด้วยกำลังส่งต่ำ และเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงาน กสทช.จะประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้หากผู้ประกอบกิจการรายใดไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมายได้ ให้ยุติการออกอากาศในปี 67

“การดำเนินการของ กสทช. จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องตามโรดแม็พเพื่อให้การให้บริการกระจายเสียงภายหลังวันที่ 4  เม.ย. 65 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงรายใหม่สามารถเ ข้าสู่ระบบการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้” พันเอก ดร.นที กล่าว