สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ว่า สถานการณ์การขาดแคลนกระแสไฟฟ้ากำลังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ในภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหนัก โดยเมืองใหญ่หลายแห่งในพื้นที่ รวมถึงเมืองต้าเหลียนและเมืองเสิ่นหยาง ต้องใช้วิธีปันส่วนกระแสไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการดับไฟสลับกันไป ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสายงานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ รวมถึง เทสลา และแอปเปิล 
ขณะที่ นายหาน จวิ้น ผู้ว่าการมณฑลจี๋หลิน ซึ่งมีประชากรประมาณ 25 ล้านคน เรียกร้อง "การจัดตั้งกลไกพหุภาคี" เพื่อการันตีว่า จีนจะมีถ่านหินเพียงพอใข้ผลิตกระแสไฟฟ้า และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้เดินหน้าต่อไป โดยเสนอให้มีการนำเข้าถ่านหิน และอาจรวมถึงก๊าซธรรมชาติด้วย จากรัสเซีย มองโกเลีย และอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากการที่รัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่ง เร่งบังคับใช้นโยบายเชิงรุก เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากถ่านหิน ตามการให้คำมั่นสัญญากับสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ส่งผลให้อุปทานถ่านหินตึงตัวอย่างหนัก และกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมในประเทศ
ด้านการไฟฟ้าแห่งชาติของจีนออกรายงานว่า โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินทุกแห่งในประเทศกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ ในการเพิ่มกำลังการผลิต แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยและการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป
รายงานโดยโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า 44% ของกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมในจีน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์นี้ ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) หดตัวอย่างน้อย 1% ในไตรมาสที่สาม และจะหดตัวอีก 2% ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  โดยโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีพีจีนในปีนี้ จากเดิม 8.2% ลงมาอยู่ที่ 7.8%.

เครดิตภาพ : AP