ถูกสนใจอย่างมากมายในทุกเรื่องของชีวิต สำหรับ อิงฟ้า วราหะ นางงามมหาชน ที่ล่าสุดวันนี้ขอเปิดใจกับบทบาทใหม่ โสเภณีสุดแซ่บ บางกอกคณิกา ที่กระแสกำลังมาแรงที่สุดในโลกโซเชียล พร้อมบอกเล่าอาการป่วย หวิดเสียโฉม หลังโหมงานหนัก พร้อมเผยบทบาทใหม่ในหน้าที่ผู้จัดการกองประกวด ผ่านรายการคุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม

อิงฟ้า เผยว่า “เรื่องดราม่าถ่ายรูปโชว์เต้า หนูเป็นคนชอบเรื่องสรีระของผู้หญิงอยู่แล้ว ชอบความเซ็กซี่ ก็มองว่าร่างกายจริงๆ คือศิลปะแหละ รูปนี้เป็นรูปที่ราถ่ายไว้เพื่อลงวันเกิดครบรอบ 29 ปี เราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ครั้งหนึ่งที่เราจะได้ถ่ายรูปสวยๆ เพราะถ้าอายุมากไปกว่านี้ ร่างกายอาจไม่ได้สวยอย่างนี้แล้ว ก็อยากเก็บไว้ ที่คนวิจารณ์ทำใจไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า ถ้าลงไปผลที่จะตามกลับมา ก็จะมีทั้งคนที่ชอบเรา ถ้าคนที่ชอบเขาก็จะเข้าใจว่าเป็นศิลปะ เป็นความชอบ แต่คนไม่ชอบก็มองว่าโป๊เกินไป แต่เราก็มานั่งคิดว่าตลอด 29 ปี ถ้าเรามัวแต่แคร์คนไม่ชอบ เราจะไม่ได้ทำสิ่งที่เราชอบสักที เรื่องคิดมากบางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ทำไม่ได้ แต่ช่วงที่เราทำได้ จะรู้สึกว่าการที่เขาไม่ชอบเรา เขารู้สึกอิจฉา จับผิด หรืออะไร มันเป็นหน้าที่ของเขา ไม่ใช่ของเรา เราอธิบายไป ถ้าคนไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบ ถ้ารุนแรงหรือลามปามถึงครอบครัว ก็จะตอบกลับบ้าง หรือให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายไป”

“ถามว่าเจอคอมเมนต์แรงๆ อยากด่ากลับไหม มีค่ะ ถ้าเราลงไปด่าเขากลับ บางทีก็รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ต่างจากเขาหรือเปล่า คนมาด่าเราแสดงว่าเขาไม่สามารถระงับอารมณ์หรือควบคุมสติของตัวเองได้ ที่จะมารุกรานในพื้นที่คนอื่น ต่อให้เป็นคนสาธารณะก็ตาม ถ้าเราไปตอบกลับก็ไม่จบไม่สิ้น ที่คนแซะเราเหมือนเคอร์รี่จริงๆ คำนี้มา ที่เขาเห็นหนูสวมบทบาทเป็นโสเภณีในละครบางกอกคณิกา เราก็รู้สึกว่าเขาคงอินมาก เราเล่นดีขนาดนั้นเลยเหรอ เขาถึงอินขนาดนั้น ก็ไม่ได้โกรธอะไรค่ะ พอเจอคอมเมนต์ดูถูกมีช่วงเวลาที่เสียใจ แต่เวลาเสียใจจะชอบเก็บไว้เงียบๆ คนเดียว พยายามมูฟออน พยายามคิดว่าหนึ่งวันมันผ่านไปเร็วมาก มีเหตุการณ์หลายๆ อย่าง สุดท้ายมันก็ผ่านไป พยายามมองว่าที่ผ่านมา เราผ่านอะไรมาเยอะมากๆ วันนี้เราจะเจออีกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงผ่านไป พยายามอยู่กับตัวเองและมีสติให้มากที่สุด ลำพังว่าเรา เราน่าจะชิน แต่บางทีลามปามไปถึงครอบครัว แม่ พี่สาว ก็จะทำให้เราเซนซิทีฟนิดหนึ่ง เราไม่อยากให้คนในครอบครัวมารับรู้ เพราะเขาคงไม่ได้สตรองเท่าเรา”

อิงฟ้า เล่าต่อว่า “ที่คนแซะอีกว่าเป็นนางงามราคาถูก 7 หลัก นี่ก็ไม่ถูกแล้วนะ (หัวเราะ) หนูไม่รู้ว่าคำว่าถูกหรือแพงเขาวัดจากอะไร แต่ถ้าคำว่านางงามราคาถูก ทำให้หนูมีบ้าน มีรถมีเงินขนาดนี้ มีคนที่รัก มีแฟนคลับโอบอ้อมเราขนาดนี้ เราก็รับกับคำว่าถูกแล้วกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าแพงสำหรับเขา คือเราอยู่อย่างสง่าหรือเข้าถึงยากก็ไม่เป็นไร เราก็น้อมรับไว้ อย่างการเปรียบเทียบ โดนตลอด ไม่จบไม่สิ้น แม้เราจะอำลาตำแหน่งแล้วก็จะมีมาเรื่อยๆ จริงๆ นางงามก็คือนางงาม มีบริบทที่แตกต่างกันออกไป แต่ละเวทีก็จะมีคุณค่าของเขามีบริบทของเขา เราก็ยืนหยัดในคาแรกเตอร์บริบทของเรา อยู่ที่ผู้บริโภค เราให้สิทธิผู้บริโภคว่าเขาจะชื่นชอบหรือเลือกแบบไหน การเปรียบเทียบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากความรุนแรงในโซเชียล หนูก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่บางทีก็น้อยใจเหมือนกันนะ คนทุกคนมีความสวย ความสามารถไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แตกต่างกันอยู่แล้ว อย่างนางงามเราพยายามผลักดันให้ผู้หญิงมีความมั่นใจ มีความสวย เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่เราจะมากดกันเอง ซึ่งในสังคมไทยทุกวันนี้ก็ยังเห็นได้ชัด ไม่ว่าเวทีไหนก็ตาม ด้วยความเราสตรองมากๆ เวลาเจอการเปรียบเทียบเราก็จะเน้นที่การพิสูจน์ พูดให้น้อย ต่อยให้หนักดีกว่า การร้องเพลงสากล คนติบ่อยๆ หนูว่าอาจเป็นภาพจำคนติดเราเป็นหมอทำขวัญนาค หรือนักร้องลูกทุ่งประกวดมาก่อน พอเรามาร้องเพลงสากลมันจะมีกลิ่นอายความเป็นนักร้องลูกทุ่ง ซึ่งในหลักความเป็นจริงเวลาร้องเพลงสากล หนูจะมีกลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งผสมไปอยู่แล้ว บางคนมองว่าเป็นเสน่ห์ของคนไทย แต่บางคนมองว่าแอคเซนส์ต่างๆ สำเนียงมันไม่ได้เลยนะ เวลาไปร้องที่ไหนเราก็จะไปแกะเพลงกันก่อน ทำการบ้านกันก่อน”

“อย่างการหวิดเสียโฉม เมื่อไม่นานมานี้ เราทำงาน ด้วยความหลังๆ มีทั้งคิวถ่ายภาพยนตร์ พรีเซ็นเตอร์ ละคร พอมันติดกันมากๆ ก็มีช่วงเวลานึงเราพักผ่อนน้อย นอนไม่ถึง 5 ชม.หลายเดือนติด พอตื่นมาก็ตกใจเหมือนกัน มีความบวมช่วงปากและคาง รู้สึกหน้าขยับไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ดีขึ้นสัก 3-4 วันจะไปหาหมอ แต่พอวันที่ 3 ก็ค่อยๆ หายไป คิดว่าน่าจะภูมิตกด้วย ก็ยังไม่ได้ไปหาหมอ แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวจะไปค่ะ จะมีวันสองวันนี้น่าจะได้ไปตกใจมากค่ะ วันนั้นต้องถ่ายละครด้วย เราพยายามเช็กในมอนิเตอร์ว่าเห็นหรือเปล่า เราก็พยายามแจ้งกับทีมงานว่าถ้าวันนี้มีปากไม่ขยับ ไม่ใช่เราเล่นแข็งนะ (หัวเราะ) บอสยังไม่ทราบ คิดว่าถ้าเขาทราบ น่าจะหาวันพักให้เรา อิงฟ้าเองก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วย จริงๆ พยายามคิดว่าเราไม่เป็น พยายามไม่ไปหาหมอ แต่มีช่วงหนึ่งที่มีดราม่าหนักประมาณปีที่แล้ว ทุกอย่างของเราก็สรวนมากขึ้น ไม่ว่าจะอารมณ์ คำพูดคำจา คนรอบข้างก็เลยบอกว่าต้องไปเช็กแล้วแหละ ก็เลยไป พอวิเคราะห์แล้วคุณหมอบอกว่าเป็นเรื้อรังตั้งแต่คุณพ่อหนูเสีย คือช่วงอายุ 18 ก็ทานยารักษากันไปจนถึงตอนนี้ค่ะ เรื่องการทำร้ายตัวเอง บ่อยมากๆ ค่ะ มันไปถึงขั้นที่เราคิดว่าการทำร้ายตัวเองหรือการคิดสั้นเหมือนเราคิดมาดีแล้ว แต่แค่ยังรู้สึกว่าเรามองข้ามความเจ็บปวดไม่ได้ แค่กลัวความเจ็บ ถ้าการฆ่าตัวตายแล้ว มันไม่เจ็บเลย เราก็คงไปนานแล้ว คงไม่มีอิงฟ้า ณ ตอนนี้แล้ว”

“วิธีดึงสติกลับมา น่าจะคนในครอบครัวก่อนเลย คุณแม่จะบอกว่าไม่เป็นไร เคารพทุการตัดสินใจของเรา หนูเคยมานั่งเสิร์ชว่าช่วงเรากลัวความเจ็บปวด การฆ่าตัวตายอะไรบ้างที่ไม่เจ็บ หนูไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ต ก็ขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกกฎหมาย เราก็คิดว่าโอเค วันนึงเราจะทำงานเก็บเงินเยอะๆ เราอยากลองไปประเทศนี้ดู เขาบอกว่าคนไปสวิตเซอร์แลนด์จะมีสองแบบ คือคนคิดสั้น กับคนที่ไปเห็นความสวยงามบนโลกแล้วเปลี่ยนใจ อยากมีลมหายใจต่อไป เราเลยรู้สึกว่าเราตั้งเป้าใหม่ ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยากอยู่บนโลกนี้แล้วจริงๆ ลองให้ตัวเองได้ไปก่อน ไปเพื่อพบความสวยงาม เหตุผลที่ไม่อยากอยู่ อาจด้วยช่วงนึงที่ชีวิตเราคอมพรีททุกอย่างแล้ว จริงๆ การคิดสั้นของหนูมีมาก่อนเป็นนางงาม พอคุณพ่อเสีย ครอบครัวเราแตกหมดเลย เหมือนอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ พอคุณพ่อเสียครอบครัวกระจายไปหมดเลย เราเคว้งมากๆ จริงๆ แต่ที่เรายังไม่ไปสักทีเพราะเราเป็นห่วงแม่ เหมือนคำสั่งเสียของพ่อหนู เรามีพี่น้องสามคน แต่เขาจะฝากหนูแค่คนเดียวว่าฝากแม่ด้วย เราก็ยังไปไม่ได้ เรายังเป็นห่วงของเราอยู่ แต่ปีที่แล้วที่ดราม่าหนัก เราก็คิดว่าเรามีเงินจำนวนหนึ่ง ที่แม่เราคงไม่ลำบากแล้วแหละ ไม่มีอะไรที่เราต้องเป็นห่วงแล้ว ณ ตอนนั้นที่เราคิดว่าเราอยากคิดสั้น เรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตทำไมมันเหนื่อยจังเลย เหมือนเราต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา เมื่อไหร่เราจะได้หยุดนิ่งใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปสักที ต่อให้อยู่ในวงการหรือทำงานอะไรก็แล้วแต่ เราสามารถอยู่ด้วยความสุข แต่พอผ่านตรงนั้นมาได้ เราก็ภูมิใจ และดีแล้วที่เราไม่ได้ตัดสินใจในวันนั้น เรื่องการห้ามมีแฟน เขาก็มองในเชิงธุรกิจ ที่มองเหมือนเด็กคนหนึ่ง ที่อยากให้เราไปได้ไกล เขามองว่าการมีแฟนจะทำให้อยู่ในวงการได้ไม่นาน หรือเสียสมาธิในการทำงาน หนูก็ไม่ได้รับปากว่าจะทำได้ 7 ปีอยู่แล้ว เพราะมันเป็นไปได้ยาก คนเราบางทีใช้ชีวิตก็ต้องดำเนินไปด้วยความรักอยู่แล้ว แต่ ณ ทุกวันนี้เราก็ยังโฟกัสกับงาน ใน 1 วันเวลาได้นอนคือน้อยแล้ว ตอนนี้เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับสิ่งที่เขาต้องการ แต่ถ้าต่อไป 30 อัพไปแล้ว เราอยากมีใครสักคนแล้วอยากทำงานไปด้วย อันนั้นเราก็ต้องพิจารณากันอีกที ตอนนี้เหลืออีก 5 ปี (หัวเราะ) ทุกวันนี้ทำงานก็แทบไม่ได้เช็กข้อความในโซเชียล จะได้เจอเฉพาะคนทำงานที่เราเจอกันจริงๆ”