สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ว่าสืบเนื่องจากเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปที่บ้านพักของประธานาธิบดีโฌเวเนล โมอิส ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา แล้ว "ก่อเหตุป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม" กับผู้นำเฮติ วัย 53 ปี ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมา ด้วยอาการบาดเจ็บจากบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งเป็นผลจากกระสุนปืน ส่วนนางมาร์ทีน โมอิส ภริยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น
The normally clogged streets of Port-au-Prince, Haiti, were empty following the assassination of President Jovenel Moïse. Bullet holes could be seen on the president’s house.https://t.co/rH0NgXAwZf pic.twitter.com/YuvNyzr1m7
— The New York Times (@nytimes) July 7, 2021
สำนักงานตำรวจแห่งชาติของเฮติออกแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงวิสามัญ "ทหารรับจ้าง" อย่างน้อย 4 ราย และจับกุมได้ 2 คน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับสัญชาติและสังกัดของกลุ่มผู้ต้องสงสัยทั้งหมด โดยให้ข้อมูลในเวลานี้เพียงว่า เจ้าหน้าที่สกัดจับกลุ่มคนร้ายซึ่งกำลังอยู่ในเส้นทางหลบหนี จึงเกิดการต่อสู้กัน
Haiti's interim prime minister, Claude Joseph, offered few details about President Jovenel Moïse's assassination, aside from a cryptic comment that some of the attackers were speaking Spanish. https://t.co/WIR9zpGOIP pic.twitter.com/8Ve3BizhQM
— The New York Times (@nytimes) July 7, 2021
ขณะที่นายโคลด โจเซฟ รักษาการนายกรัฐมนตรีของเฮติ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยยืนยันว่า กองทัพและตำรวจร่วมมือกันอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านความมั่นคงของบ้านเมือง และยืนยันว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะยังคงเกิดขึ้นตามกำหนดการ คือช่วงปลายปีนี้ พร้อมทั้งเรียกร้อง "ความร่วมมือและความปรองดอง" จากฝ่ายค้านและกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง

ทั้งนี้ โจเซฟซึ่งตอนนี้ถือเป็นรักษาการผู้นำเฮติไปโดยปริยาย กล่าวด้วยว่า กลุ่มมือสังหาร "พูดภาษาอังกฤษและภาษาสเปน" แต่ภาษาราชการของเฮติ คือภาษาเฮติและภาษาฝรั่งเศส ส่วนอาการของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง "ทรงตัว" ซึ่งรัฐบาลเฮติได้รับการอำนวยความสะดวก ในการส่งตัวนางมาร์ทีน โมอิส ไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในรัฐฟลอริดาของสหรัฐแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง นายบอกชิต เอดมอนด์ เอกอัครราชทูตเฮติประจำกรุงวอชิงตัน เปิดเผยว่า การลอบสังหารโมอิส "มีการวางแผนเตรียมการล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี" และกลุ่มคนร้าย "มีความเป็นมืออาชีพในระดับสูง" โดยแต่งกายด้วยเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ ( ดีอีเอ ) จึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าประตู จึงอนุญาตให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าสู่ภายในพื้นที่

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ ประณามการลอบสังหารโมอิส พร้อมทั้งให้คำมั่นประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเฮติ แต่กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในเฮติ “น่าวิตกกังวลอย่างมาก”
"It's very worrisome," Biden said Wednesday in reaction to the assassination of Haitian President Jovenel Moïse https://t.co/Xh2f9ONPd6 pic.twitter.com/ShJLMffBFD
— Bloomberg Quicktake (@Quicktake) July 7, 2021
We are shocked and saddened to hear of the horrific assassination of President Jovenel Moïse and the attack on First Lady Martine Moïse of Haiti. We condemn this heinous act — and stand ready to assist as we continue to work for a safe and secure Haiti.
— President Biden (@POTUS) July 7, 2021
I spoke today with Acting Prime Minister @claudejoseph03 to extend condolences on the death of President Moïse and express our wishes for First Lady Martine Moïse’s recovery. The United States remains firmly committed to supporting peace, democracy, and security in Haiti.
— Secretary Antony Blinken (@SecBlinken) July 7, 2021
อนึ่ง โมอิสซึ่งเป็นอดีตนักธุรกิจ ขึ้นสู่อำนาจผู้นำเฮติ จากการเลือกตั้ง เมื่อปี 2560 และเผชิญกับการประท้วงขับไล่อย่างหนัก ตั้งแต่ปีที่แล้ว จากข้อครหาหลายเรื่อง.
เครดิตภาพ : REUTERS, AP