นายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เปิดเผยว่า กพท. ได้ติดตามตรวจสอบการเรียกเก็บค่าโดยสารเส้นทางภายในประเทศ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 67 โดยรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของสายการบินหลักที่ให้บริการ 6 ราย ได้แก่ สายการบินไทย, สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินนกแอร์, สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท พบว่า ราคาบัตรโดยสารยังไม่สูงมาก แต่กำลังขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเส้นทางภูเก็ต และกระบี่ เพราะจำนวนที่นั่งที่รองรับในแต่ละเที่ยวบิน เริ่มเหลือน้อยลงแล้ว และใกล้วันเดินทางด้วย

นายศรัณย กล่าวต่อว่า เมื่อช่วงประมาณต้น-กลางเดือน มี.ค.67 ราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางภูเก็ต และกระบี่ อยู่ที่ประมาณ 1,800-1,900 บาทต่อเที่ยว โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงปลายเดือน มี.ค. ราคาตั๋วต่อเที่ยวขยับเป็น2,000 บาทขึ้นไป และคาดว่าสัปดาห์นี้ราคาตั๋วต่อเที่ยวจะขยับเพิ่มเป็น 3,000 บาทขึ้นไป จากนั้นสัปดาห์หน้า และช่วงสงกรานต์ราคาตั๋วต่อเที่ยวอาจจะขยับเป็น 4,000-5,000 บาท ทั้งนี้กรอบเพดานราคาตั๋วโดยสารที่ กพท. กำหนดอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาทต่อเที่ยว ทั้งนี้เส้นทางภูเก็ต เป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางมากที่สุด แต่เส้นทางที่มีราคาบัตรโดยสารแพงที่สุดคือ กระบี่ เนื่องจากจำนวนเที่ยวบินน้อยกว่าที่ภูเก็ต ซึ่งที่ภูเก็ตนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเยอะแต่ก็มีเที่ยวบินรองรับเยอะ

นายศรัณย กล่าวอีกว่า เชื่อว่าเมื่อราคาตั๋วเครื่องบินต่อเที่ยวขยับขึ้นไปแตะระดับ 4,000 บาทขึ้นไป อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกได้ และหากมีแผนการเดินทางขอให้รีบทำการจองตั๋ว ซึ่งเวลานี้แต่ละสายการบินยังมีตั๋วรองรับอยู่โดยเฉพาะเที่ยวบินพิเศษ ที่สายการบินได้เพิ่มเที่ยวบินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และปรับลดราคาลง 20% จากราคาปกติ ซึ่งสายการบินต่างๆ แจ้งว่า มียอดจองตั๋วเข้ามาแล้ว 50-60% ยังสามารถจองเข้ามาได้ แต่ช่วงเวลาเดินทางที่ดีราคาเริ่มขยับขึ้นแล้ว หากไม่จองในช่วงนี้ราคาตั๋วโดยสารจะสูงขึ้นแน่นอน อย่างไรก็ตามสำหรับเส้นทางภายในประเทศเส้นทางอื่นๆ ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาไม่สูงมากนักประมาณ 2,000 บาท เนื่องจากช่วงนี้คนนิยมท่องเที่ยวทะเลทางภาคใต้

นายศรัณย กล่าวด้วยว่า ภาพรวมการเดินทางเส้นทางภายในประเทศ ผู้โดยสารกลับมาปกติแล้วเมื่อเทียบกับช่วงปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่เส้นทางระหว่างประเทศผู้โดยสารยังกลับมาไม่ 100% ขณะนี้เหลือเพียงนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งปัจจุบันกลับมาท่องเที่ยวไทยแล้วประมาณ 60-70% หรือประมาณ 2 หมื่นคนต่อวัน คาดว่าภายในปี 67 จะกลับมาปกติครบ 100% ประมาณ 3 หมื่นคนต่อวัน อย่างไรก็ตามนโยบายฟรีวีซ่าไทย-จีน สามารถช่วยกระตุ้นการเดินทางมาไทยได้มากขึ้น แต่เป็นการทยอยเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่มาแบบทันทีทันใด ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการให้สามารถทำการปรับตัวได้.