เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ณ อาคาร 10 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม มอบนโยบายและเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 67 ภายใต้ชื่อ “Smart Seamless เชื่อมรถ ต่อราง สะดวกเดินทาง สร้างความปลอดภัยในช่วงสงกรานต์” พร้อมด้วย นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี ขบ. นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และนายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการ รักษาการแทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เข้าร่วมงาน

นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์ประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนา และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ จำนวนมาก คาดการณ์ว่าการเดินทางประชาชน ด้วยขนส่งสาธารณะระหว่างจังหวัด วันที่ 11-17 เม.ย.67 รวม 7 วัน มีปริมาณผู้โดยสาร 2.05 ล้านคน-เที่ยว รถ บขส. 772,730 คน รถไฟระหว่างเมือง 645,600 คน ท่าอากาศยาน 629,365 คน เพิ่มจากเทศกาลสงกรานต์ ปี 66 อยู่ที่ 23.95%

ทั้งนี้รัฐบาลมอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยประชาชนเพื่อให้เดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตราย โดย “อุบัติเหตุ ต้องเป็น “ศูนย์” บริการระบบขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงง่าย เพียงพอไม่ล่าช้า ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง ไม่โก่งราคา ไม่ทิ้งผู้โดยสาร และทันกับเหตุการณ์ รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อโยงระบบการขนส่งสธารณะ เพื่อตอบโจทย์นโยบาย “สะดวก สบาย ปลอดภัย ไร้รอยต่อ”

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์แผนการดำเนินมาตรการของการอำนวยความสะดวกประชาชนเชื่อมต่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ทางบก ทางราง รวมถึงมาตรการความปลอดภัยกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนที่จะเดินทางช่วงเทศกาล การเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะอย่างไร้รอยต่อ บขส. และ รถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กำหนดจุดจอด และปรับปรุงทางเชื่อมที่มีความสะดวก สบายมากขึ้น จัดพื้นที่จอดรถแท็กซี่ (TAXI) และระบบการบริหารจัดการเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลาลดปัญหาการจราจรติดขัดภายในและภายนอกสถานี

อีกทั้งเตรียมให้รถโดยสารสาธารณะทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สนับสนุนการทำหน้าที่ฟีดเดอร์เชื่อมสถานีรถไฟ สนามบิน ท่าเรือ อย่างไร้รอยต่อทั่วประเทศ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการและระบบการจราจรภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ปรับรูปแบบการจราจร พื้นที่จอดรถ ชานชาลาสำหรับรถขาเข้า ขาออก ในสถานีขนส่งผู้โดยสารให้มีระบบการจราจรที่มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การบูรณาการร่วมระหว่างหน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้ตรวจการ ขบ. เจ้าหน้าที่ตรวจการ บขส. เจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ ขสมก. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินมาตรการเข้มข้นป้องกันมิให้มิจฉาชีพเข้ามาหลอกลวง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนภายในสถานนีขนส่งผู้โดยสาร

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตรวจเข้มความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถแบบ 100% ตามเช็กลิสต์ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร 123 แห่ง จุดจอด 55 แห่ง จุดตรวจความปลอดภัย (Rest Area) จำนวน 13 จังหวัด 16 จุด และจุด เช็กกิ้ง พ้อยท์ 26 จังหวัด 28 จุด ทั้งก่อนให้บริการและระหว่างเส้นทางการเดินทางผ่านจุดเช็กกิ้ง พ้อยท์ ทั่วประเทศ ตรวจสอบความเร็วสถานะการเดินทางของรถทุกคันผ่านศูนย์ GPS ของ ขบ. ตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) หากพบการกระทำผิดให้มีการพิจารณาลงโทษตามกฎหมายทันที ทั้งนี้กรณีรถโดยสารประจำทางที่เป็นรถสองชั้นทุกคัน รวมถึงรถโดยสารไม่ประจำทางที่นำมาขออนุญาตกับ ขบ. เพื่อวิ่งร่วมกับเส้นทางรถโดยสารประจำทาง (รถเสริม) ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพตามหลักเกณฑ์ ภายในวันที่ 7 เม.ย.67 หากพบรถไม่พร้อมให้สั่งพ่น “ห้ามใช้” ทันทีเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางสูงสุดของประชาชน

ด้าน นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี ขบ. กล่าวว่า ได้บูรณาการกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและสถานศึกษาในเขตพื้นที่ เพื่อร่วมกันจัดตั้งศูนย์อาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน (Fix it Center) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จำนวน 104 จุดทั่วประเทศ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่นและสายรอง โดยจุดบริการดังกล่าวจะให้บริการตรวจเช็คสภาพรถเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือผู้เดินทางกรณีฉุกเฉิน บริการรถยก (บางพื้นที่) บริการนวดผ่อนคลาย บริการผ้าเย็น น้ำดื่ม ข้อมูลเส้นทางแหล่งท่องเที่ยว และรายชื่ออู่รถที่เปิดให้บริการ เป็นต้น ซึ่งบริการเหล่านี้เป็นการให้บริการ “ฟรี” ไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยจะให้บริการระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย.67 รวมทั้งตั้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะชั่วคราว ดำเนินงานศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชม. เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและป้องกันมิให้ผู้โดยสารถูกเอารัดเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ