เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจ หัวข้อ พายุการเมืองระอุ กับ วิกฤติศรัทธา ที่ศึกษาจากตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,178 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1–6 เม.ย.ที่ผ่านมา ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 77.0 มองว่า บรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง และเมื่อแบ่งตามเพศ พบว่า ชายส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.3 มองว่าบรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรงมากกว่า หญิงที่มีอยู่ร้อยละ 74.8 และที่น่าพิจารณาคือ เหตุปัจจัยที่ทำการเมืองร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ วิกฤติศรัทธาต่อ ผู้นำการเมือง ร้อยละ 84.8 กระบวนการยุติธรรม ล่มสลาย ร้อยละ 83.7 ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ร้อยละ 66.3 ความเสื่อมศรัทธาต่อ องค์กรอิสระ ร้อยละ 50.6 และการยุบพรรคก้าวไกล ร้อยละ 48.9 ตามลำดับ

นอกจากนี้ซูเปอร์โพล ระบุว่า หากเปรียบเทียบข้อมูลผลโพลชิ้นนี้ กับ อุณหภูมิร้อนทางการเมืองย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่ผ่านมาจะพบว่า บรรยากาศการเมืองร้อนระอุขึ้นมากสอดคล้องกับการรับรู้และความรู้สึกของประชาชนได้ ที่น่าเป็นห่วงคือบรรยากาศร้อนระอุทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพราะเหตุปัจจัยสำคัญที่ประชาชนระบุมาในผลโพลนี้

ซูเปอร์โพล ระบุว่า ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่ ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย เช่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของประชาชนและรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้จริงโดยทำให้คนทั้งประเทศเห็นว่าทำงานอย่างหนักเกิดผลงานจับต้องได้ มีการลงพื้นที่เกาะติดพี่น้องประชาชนต่อเนื่องและลงซ้ำเพื่อติดตามผลคืบหน้าแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนและชุมชนในระดับพื้นที่ได้จริง เช่น นายทักษิณ อาจจะกลับไปกางเต็นท์ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อดูว่าอดีตวันนั้นกับอาจสามารถโมเดลแก้จน วันนี้แตกต่างไปอย่างไรบ้าง การลงพื้นที่อาจทำให้ผลที่ตามมาคือ บรรยากาศการเมืองที่จะร้อนระอุ จะลดระดับลง ทำให้การขับเคลื่อนประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศเดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้งและผ่านพ้นวิกฤติศรัทธาต่อผู้นำการเมืองและอื่นๆ ไปได้