จากราคา “ทองคำ” ที่ปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีนี้ อย่างน่าตกใจ…ปนไปกับความน่าตื่นเต้น และแรงลุ้นว่าจะขึ้นไปต่ออีกเรื่อยๆ

แต่ฝันของนักลงทุนในวันนี้ (23 เม.ย. 67) อาจจะต้องตื่นมาพบกับความจริงตั้งแต่ช่วงเช้า ที่ราคาทองคำร่วงลงแรงถึง 850 บาท ตั้งแต่เริ่มเปิดตลาด จากนั้นยังคงร่วงลงมาเรื่อยๆ จนขณะนี้ ณ เวลา 11.11 น. มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว 6 ครั้ง โดยร่วงลงมาทั้งหมด 1,050 บาท หลังจากเมื่อวานนี้ (22 เม.ย. 67) ร่วงลงไป 300 บาท

โดยเหตุผลที่ทำให้ราคาทองคำร่วงเป็นเพราะ

ราคาทองคำถูกเทขายออกมา จากการที่สงครามอิหร่าน-อิสราเอล ดูไม่บานปลาย การตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายเป็นเพียงการแสดงสัญลักษณ์ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงแรงต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้มีนักลงทุนที่ขายทองไปซื้อหุ้น ถึงแม้จะมีปัจจัยเรื่องสงครามมาช่วย แต่ราคาทองคำก็ไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ 2,400 ดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ตาม ตามหลักการแล้วมี 4 ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นหรือลง นั่นคือ

1. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ย จากค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำเข้าและส่งออกทองคำ รวมไปถึงค่าขนส่ง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าความเสี่ยง หรือค่าประกันภัยต่างๆ เนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก และปริมาณทองคำที่มีอยู่ภายในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ จึงทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมา 

หากนโยบายดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น จะแสดงให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มดี ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้ ราคาทองคำ ก็จะปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากนโยบายดอกเบี้ยถูกลดลง จะแสดงให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มไม่ดี ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลง ความเชื่อมั่นที่ลดลง และ ราคาทองคำ ก็จะปรับตัวสูงขึ้น

2. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อ ราคาทองคำ เป็นอย่างมาก ซึ่งราคาน้ำมันเป็นตัวที่ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ โดยสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นกับ ราคาทองคำ นั้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และราคาน้ำมันมีส่วนเกี่ยวข้องแบบเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ราคาทองคำ ด้วยเช่นกัน 

หากราคาน้ำมันถูกปรับเพิ่มขึ้น สภาวะเงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ราคาทองคำ ก็จะถูกปรับขึ้นสูง ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันถูกปรับตัวลดลง สภาวะเงินเฟ้อก็จะลดลง และ ราคาทองคำ ก็จะปรับตัวลงตามกัน

3. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์

เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินที่มีการใช้กันมาก อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ยังเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการซื้อ-ขาย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวนกับ ราคาทองคำ

การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จะส่งผลดีกับราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่สามารถเก็บมูลค่า และส่งผลให้กระแสเงินของแต่ละประเทศไหลเข้าสู่ทองคำ และทำให้ ราคาทองคำ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวขึ้น จะส่งผล ราคาทองคำ ปรับตัวลง และนักลงทุนทองคำจะหันมาลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์แทน 

4. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับ Demand และ Supply หรือความต้องการ

Demand หรือ อุปสงค์ คือความต้องการในทองคำ ที่มาจาก 3 กลุ่มใหญ่หลักๆ ได้แก่ ภาคเครื่องประดับ ภาคการลงทุน และภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ รวมไปถึงการที่ภาครัฐของแต่ละประเทศ มีการนำทุนสำรองไปซื้อทองคำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดจากการเกาะตัวอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 

หากมีความต้องการที่จะซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอีกด้วย และในทางกลับกัน หากมีความต้องการซื้อทองคำต่ำ ราคาทองคำก็จะถูกปรับลงด้วยเช่นกัน

Supply หรือ อุปทาน คือ ความต้องการขายทองคำ ที่มาจาก 3 กลุ่มใหญ่หลักๆ ได้แก่ ผลผลิตทองคำที่มาจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศ และสุดท้ายปริมาณทองคำเก่าๆ ที่มีการหมุนเวียนอยู่ในระบบ

Demand และ Supply หรือความต้องการภายในประเทศไทย จะพิจารณาจากอัตรา Gold Spot และค่าเงินบาทของไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้แล้วยังต้องคำนึงถึงความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อการที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ของแต่ละครั้ง