เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมาและชนกลุ่มน้อยและปัญหาผู้หนีภัยสงครามข้ามแดนมาไทยและปัญหาการสร้างสันติภาพในเมียนมาอย่างยั่งยืน ตลอดจนท่าทีของประเทศอาเซียน กลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชั้นนำจี 7 และท่าทีล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศไทยนั้น ตนเห็นว่าถ้าไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เกาไม่ถูกที่คัน การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมาและชนกลุ่มน้อยก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทุกฤดูแล้ง ก็จะมีผู้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาฝั่งไทย และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็จะเกิดขึ้นทุกปีต่อเนื่องไป นอกจากนั้น การแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ข้ามแดน ปัญหายาเสพติด ปัญหากลุ่มคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนก็คงแก้ไขได้ยากขึ้น

นายนพดล กล่าวต่อว่า กมธ.การต่างประเทศเห็นว่าต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องและยั่งยืน แก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือการสร้างสันติภาพในเมียนมาให้ได้  ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ตั้งคณะกรรมการติดตามปัญหาเมียนมาขึ้น โดยตนมีข้อเสนอดังนี้คือ 1.รีบจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเพื่อผลักดันและประเมินฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน และคิดหาเวทีหรือกลไกเพิ่มเติมที่จะขับเคลื่อนการสร้างสันติภาพในเมียนมาให้จริงจังมากขึ้น 2.ไทยควรใช้โอกาสนี้เป็นหัวหอกในการผลักดันการสร้างสันติภาพในเมียนมา ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศใช้คำว่าทรอยก้า พลัส ซึ่ง กมธ.การต่างประเทศเป็นคนแรกๆ ที่ใช้คำนี้ แต่ความหมายอาจจะแตกต่างกันบ้าง คือ กมธ.เห็นว่าทรอยก้า พลัสนั้น ควรประกอบด้วยไทย ประธานอาเซียน จีน อินเดีย และอาจรวมบังกลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศมีชายแดนติดกับเมียนมา เพื่อหารือแนวทางและคิดโรดแม็พในการสร้างสันติภาพในเมียนมาอย่างยั่งยืน

นายนพดล กล่าวต่อว่า 3.เมื่อกลุ่มทรอยก้า พลัส มีโรดแม็พในการสร้างสันติภาพที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการจัดเวทีพูดคุยกันกับกลุ่มต่างๆ ในเมียนมา เพราะการพูดคุยยุติปัญหาเท่านั้นที่จะลดการสูญเสียจากการสู้รบและปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งไม่ใช่ปัญหาภายในเท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียนโดยรวม                            

“ตนคิดว่าไทยที่อยู่ในสถานะพิเศษ มีทั้งชายแดนติดเมียนมาและได้รับผลกระทบอย่างมากจากการสู้รบ ควรใช้โอกาสนี้ขับเคลื่อนการสร้างสันติภาพให้รวดเร็วและกระฉับกระเฉงมากขึ้น ควรใช้นโยบายการต่างประเทศเชิงรุก และประสานทุกฝ่ายเพราะยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นช้าไป ผู้ได้รับผลกระทบก็คือพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ปัญหาเมียนมาควรยุติโดยการเจรจาทางการทูตอย่างครอบคลุมและสร้างสรรค์ ได้เวลาที่ทุกฝ่ายจะเปลี่ยนแนวคิดและคำพูดไปเป็นการกระทำและผลสัมฤทธิ์ที่วัดผลได้ แม้จะยาก แต่ถ้ามีเจตจำนงทางการเมืองและการทูตจะสำเร็จได้” นายนพดล กล่าว.