สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่า อังค์ถัด ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภายใต้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือนว่า การขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ต้องแลกมาด้วยต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องใช้น้ำ และพลังงานจำนวนมหาศาล แม้การเปลี่ยนผ่านจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก

อังค์ถัดเรียกร้องให้จัดหากลยุทธ์ที่ยั่งยืน เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา “การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนชีวิตและการดำรงชีวิต แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างไร้การควบคุมก็มีความเสี่ยงที่จะทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง และส่งผลให้ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น” นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในรายงาน

ขณะเดียวกัน กูเตร์เรสเตือนว่า การพึ่งพาเครื่องมือดิจิทัล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การสูญเสียวัตถุดิบ, การใช้น้ำและพลังงาน, การปล่อยมลพิษทางอากาศ และการสร้างของเสีย “สิ่งเหล่านี้ถูกเน้นย้ำด้วยเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอไอที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ด้านนางรีเบกา กรินสแปน เลขาธิการอังค์ถัด เรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านการผลิตข้อมูลที่ได้มาตรฐาน หลังเมื่อเร็วๆ นี้ กูเกิลรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 5 ปีจนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่สนับสนุนการดำเนินงานของเอไอ

เช่นเดียวกับรายงานความยั่งยืนล่าสุดของไมโครซอฟต์ ซึ่งระบุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ในปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับปี 2563 แม้บริษัททั้งสองแห่งเคยให้คำมั่น จะดำเนินนโยบายความกลางทางคาร์บอน ให้สำเร็จภายในสิ้นทศวรรษนี้

เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนของสหรัฐ กล่าวว่า คำมั่นสัญญาของเทคโนโลยีเจเนอเรทีฟ เอไอ จะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องใช้เงินประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36 ล้านล้านบาท) เพื่อการลงทุนในศูนย์ข้อมูล, ชิป และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเอไอ “แต่การใช้จ่ายครั้งยังมีให้เห็นไม่มากนัก” พร้อมตั้งคำถามว่า “การใช้จ่ายจำนวนมากนี้ จะได้ผลตอบแทนในแง่ของผลประโยชน์ และผลตอบแทนจากเอไอหรือไม่”

ด้านนางชามิกา สิริมันน์ ผอ.ฝ่ายเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ อังค์ถัด กล่าวว่า คำถามที่ว่าเอไอควรใช้ทำอะไร เพื่อสาธารณประโยชน์หรือค้นหาข้อมูล, การตลาด หรือการขาย ยังไม่เกิดขึ้น “แต่ก่อนที่จะสายเกินไป เราต้องเริ่มการสนทนานี้เสียก่อน”

ในรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลปี 2567 อังค์ถัดได้ยกตัวอย่างผลกระทบของเศรษฐกิจดิจิทัลต่อสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง 0.69 ถึง 1.6 กิกะตันในปี 2563 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1.5-3.2 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และใกล้เคียงกับการขนส่งทางอากาศหรือทางเรือ ด้านการผลิตคอมพิวเตอร์ขนาด 2 กิโลกรัม ต้องใช้วัตถุดิบประมาณ 800 กิโลกรัม โดยความต้องการแร่ธาตุสำคัญ เช่น กราไฟต์, ลิเทียม และโคบอลต์อาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 500 ภายในปี 2593

ขณะเดียวกัน มีการใช้ไฟฟ้า 460 เทระวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในปี 2569 ในไอร์แลนด์ การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าระหว่างปี 2558-2565 และปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 18 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 ภายในปี 2574 แต่การใช้พลังงานทั่วโลกในการขุดบิตคอยน์ เพิ่มขึ้นประมาณ 34 เท่าระหว่างปี 2558-2566 ที่ประมาณ 121 เทระวัตต์-ชั่วโมง ส่งผลให้การขุดบิตคอยน์ในเบลเยียมและฟินแลนด์ นำหน้าประเทศอื่น ๆ

ทั้งนี้ กรินสแปนย้ำว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลนั้น น่ายินดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่เราจำเป็นต้องทำในลักษณะที่ครอบคลุมและยั่งยืน” พร้อมระบุว่า “ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สร้างความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การมีนโยบายที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าที่เคย เพื่อให้เราสามารถจัดการผลกระทบของมันได้อย่างเหมาะสม”.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES