วานนี้ (11 ก.ค. 2567) เกิดเหตุเพลิงไหม้ส่วนยอดของอาสนวิหารแห่งเมืองรูอ็อง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส แต่หน่วยดับเพลิงสามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลาไม่นานนัก และไม่พบความเสียหายร้ายแรง
เหตุการณ์เริ่มจากแผ่นพลาสติกที่ปกคลุมส่วนยอดของอาสนวิหารที่ความสูง 120 เมตร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ เกิดติดไฟขึ้นโดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
เบื้องต้น คนงานที่เกิดเหตุพยายามที่จะดับไฟ แต่ต่อมาก็ได้แจ้งเหตุไปยังหน่วยดับเพลิง ซึ่งส่งสัญญาณแจ้งเตือนเพลิงไหม้ในเมืองเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันตามเวลาม้องถิ่น รถดับเพลิง 40 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีก 70 นาย เร่งเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ
ทีมดับเพลิงใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ และสามารถดับเพลิงได้ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
ราชิดา อาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งฝรั่งเศส แถลงหลังจากเดินทางมายังที่เกิดเหตุตามคำสั่งของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ว่า สภาพภายในอาคารและงานศิลปะทั้งหมดปลอดภัยดี ด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแถลงว่า มีการเคลื่อนย้ายชิ้นงานบางส่วนราว 28 ชิ้น ไปเก็บรักษาที่อื่นไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังมีคนงานก่อสร้าง 3 ราย ที่ต้องเข้ารับการรักษาเพราะสูดควันพิษเข้าไป ตอนที่กำลังพยายามจะดับไฟด้วยอุปกรณ์ดับเพลิง
รายงานข่าวระบุว่า เพลิงไหม้เกิดขึ้นส่วนปลายสุดของยอดแหลมของอาสนวิหาร ทั้งที่สร้างจากโลหะ ไม่ใช่ไม้ ต่างจากเหตุเพลิงไหม้มหาวิหารโนตเทรอะดามแห่งกรุงปารีส ในปี 2562 ซึ่งเกิดไฟไหม้ที่โครงสร้างหลังคาส่วนที่เป็นไม้
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของอาสนวิหารแห่งรูอ็อง ระบุว่า ศาสนสถานสไตล์โกธิคแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 มีอายุมากกว่า 800 ปี ได้ชื่อว่าเป็นวิหารที่มียอดแหลมสูงที่สุดในฝรั่งเศส และเป็นสถานที่สำคัญหรือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองรูอ็อง
ในปี 2365 เกิดฟ้าผ่ายอดแหลมของอาสนวิหารแห่งนี้ ทำให้โครงสร้างส่วนที่เป็นไม้เสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้มีการเลือกใช้โลหะแทนโครงสร้างเดิม โดยเปลี่ยนจากไม้เป็นเหล็ก และเปลี่ยนมาเป็นเหล็กกล้าอีกทีในช่วงศตวรรษที่ 19
ในปี 2560 ทางการแคว้นนอร์มังดี ฝ่ายวัฒนธรรม จึงมีมติให้เริ่มโครงการบูรณะครั้งใหญ่ของอาสนวิหารแห่งรูอ็อง ซึ่งในการบูรณะครั้งนี้ ได้วางแผนให้ติดตั้งผนังกันไฟภายในโครงสร้างที่เป็นไม้ เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับมหาวิหารโนตเทรอะดาม รวมทั้งเสริมโครงสร้างหลังคาโค้งให้แข็งแรงขึ้น
เครดิตภาพ : AFP