เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาการส่งฟ้องคดียาเสพติดในพื้นที่ จ.น่าน ที่มีขยายผลจับกุมตัวการใหญ่และผู้เกี่ยวข้อง 7 คน ยึดทรัพย์ได้เงินกว่า 2,175 ล้านบาท แต่ส่งฟ้องคดีไม่ทันในระยะเวลาคุมตัวตามกฎหมาย 84 วัน ท่ามกลางกระแสข่าวเชิงลบ ว่า ยืนยันว่าในฐานะ อัยการสูงสุด จะมีพิจารณาสั่งคดีโดยให้ความเป็นธรรม เป็นไปตามพยานหลักฐาน เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาในสังคม จึงมอบหมายให้อธิบดีอัยการภาค 5 เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานให้ทราบภายใน 7 วัน ซึ่งคาดว่า อธิบดีอัยการภาค 5 จะรายงานมาเร็วกว่ากำหนดก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเชื่อว่าจะมีการนำหารือในที่ประชุม ก.อ. แต่เท่าที่ทราบเบื้องต้นว่า คดีนี้มีหลายสำนวนเกี่ยวพันกันในคดีหลัก ซึ่งมีผู้ต้องหาหลัก ทางอัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว ส่วนของกลางและเงินที่ตรวจพบได้มีขอศาลให้อายัดทรัพย์แล้ว ส่วนคดีที่มีปัญหาปล่อยผู้ต้องหาเป็นในส่วนที่ขยายผลมาจากคดีหลัก และติดปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีที่ขยายผลนั้นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอำนาจสอบสวนของอัยการสูงสุดหรือไม่ เพราะการที่พนักงานอัยการจะฟ้องดำเนินคดีอาญาการสอบสวนจะต้องชอบด้วยกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงว่าทำไมถึงฟ้องไม่ทันรออยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และถ้ามีความคืบหน้าทางทีมโฆษกจะแจ้งความคืบหน้าให้สื่อมวลชนทราบ

นายสิงห์ชัย เปิดเผยต่อว่า ส่วนการให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาและผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหา เช่น กรณีคดีของ นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา หรือคดีทุจริตฟอกเงินแบงก์กรุงไทย ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าผู้ต้องหาอยู่ระหว่างการหลบหนีคดี แต่เปิดโอกาสให้ทนายความเข้ายื่นคำร้องได้หลายครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาในลักษณะนี้ ทางอัยการได้มีแก้ไขระเบียบขอความเป็นธรรมใหม่ โดยการยื่นคำร้องต่อไปนี้จะต้องมีตัวผู้ต้องหาเป็นผู้ยื่นโดยตรง ไม่ใช้ตัวแทนหรือทนายความเป็นผู้ยื่นหนังสือเหมือนที่ผ่านมา และให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ใช้ดุลพินิจว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นการประวิงเวลาหรือไม่ และคำร้องที่ยื่นซ้ำเดิมหรือไม่ หากมีประเด็นตรงนี้ก็จะให้คำร้องตกไป โดยพิจารณาเหตุผลของแต่ละคดี