เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีกรรโชกทรัพย์ หมายเลขดำอ 3450/2566 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และ นายพงศกร จันทร์แก้ว หรืออดีตพระกาโตะ โจทก์ร่วม ฟ้อง น.ส.วีรินทร์ชิตา สุวรรณรักษา หรือ สีกาตอง อายุ 40 ปี และนายสาธิต ลีลาจารุวรรณ ซึ่งอ้างเป็นพี่ชายสีกาตอง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์และรีดทรัพย์ผู้อื่น
‘สีกาตอง’ มอบตัวคดีวางแผนรีดเงิน ‘อดีตพระกาโตะ’ หวังปกปิดสัมพันธ์ฉาว
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยทั้งสองสรุปความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 เม.ย. 2565-21 เม.ย. 2565 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจขืนใจนายพงศกร จันทร์แก้ว หรืออดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดัง ผู้เสียหาย โดยพูดขู่เข็ญบังคับให้ผู้เสียหายมอบเงินสด จำนวน 180,600 บาท ให้จำเลยที่ 1 มิฉะนั้นจะเปิดเผยคลิปสนทนาเชิงชู้สาว และภาพถ่ายข้อความเชิงสนทนาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปทราบ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นกำลังบวชเป็นพระภิกษุ เป็นพระนักเทศน์ชื่อดังมีประชาชนให้ความเคารพนับถือ จะทำให้ต้องถูกปลด หรือสึกจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ และเสื่อมเสียชื่อเสียง ผู้เสียหายจึงยอมให้เงินแก่จำเลยที่ 1 หลายครั้งหลายหนรวม 180,600 บาท
คำฟ้องระบุอีกว่า นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้พูดขู่เข็ญกับผู้เสียหายอีกว่า จำเลยที่ 2 อ้างเป็นพี่ชายจำเลยที่ 1 รู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเชิงชู้สาวระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 หากผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินจำนวน 3 แสนบาท จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะให้น้องสาวเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนอีก ทำให้ผู้เสียหายกลัวจะได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อตัวเองและครอบครัว จึงได้ยอมมอบเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่จำเลยที่ 1 ไป เหตุเกิดที่ ต.กะเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสองได้รับการประกันตัว โดยเบื้องต้นให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังให้การรับสารภาพต่อศาลโดยผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3 หมื่นบาท โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 2 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้เงิน 1 หมื่นบาท โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสองอีก
ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะ และพินิจ ประวัติการศึกษา สภาพครอบครัวฯ ของจำเลยทั้งสอง แล้วรายงานให้ศาลทราบเพื่อใช้พิจารณาประกอบคำพิพากษา
ช่วงเช้าวันนี้ น.ส.วีรินทร์ชิตา จำเลยที่ 1 และนายสาธิต จำเลยที่ 2 พร้อมทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนอดีตพระกาโตะ ผู้เสียหาย อัยการโจทก์ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา มีเพียงทนายความอดีตพระกาโต๊ะ ที่เป็นโจทก์ร่วมมาศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ร่วมได้ถอนฟ้องในข้อหา ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน ตามมาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งยอมความได้ ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ในข้อหา กรรโชกทรัพย์ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ข้อหารีดเอาทรัพย์ ลงโทษ จำคุก 3 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลลงโทษข้อหาข่มขืนใจ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ปรับ 3 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท แต่จากรายงานสืบเสาะพฤติกรรมของจำเลยที่ 1 และ 2 พบว่า ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนและเห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรง อีกทั้งจำเลยได้เยียวยาผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจเอาความแล้ว เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้งในเวลา 1 ปี ให้ทำกิจกรรมบริการสังคม สาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง และเข้าร่วมกิจกรรมแก้ไขฟื้นฟู ตามที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ส่วนคำขออื่นให้ยก
ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสองมีสีหน้ายิ้มแย้ม และได้ดำเนินการจ่ายค่าปรับต่อศาลเรียบร้อยแล้ว
จากนั้น น.ส.วีรินทร์ชิตา หรือ สีกาตอง เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยและไกล่เกลี่ยกับอดีตพระกาโตะไปแล้ว ซึ่งมีการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ไปกับโจทก์ร่วมแล้ว และก็ได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจต่อกันทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาจะเป็นการพูดคุยกันผ่านบุคคลอื่นไม่ได้พูดคุยกันจริง ๆ แต่เมื่อได้พูดคุยกันใหม่ก็เข้าใจต่อกันดี ทั้งฝั่งโจทก์ร่วมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้วเพราะมีได้ถอนฟ้องในมาตรา 309 วรรค 1 ข่มขืนใจให้เกิดความกลัวไปแล้ว ซึ่งถือว่าวันนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ทางศาลก็ได้ตัดสินไปแล้ว
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยอย่างอื่นกับอดีตพระกาโตะนอกเหนือทางคดีหรือไม่ ทาง น.ส.วีรินทร์ชิตา ก็บอกว่าไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยหลังจากปรับความเข้าใจกัน และตอนนี้ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตใหม่กันแล้ว อยากให้ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของกันและกัน และตนขอสัญญาว่าจะไม่กระทำความผิดใดๆ อีกพร้อมขอบคุณศาลที่ให้ความเมตตา และทนายความ ครอบครัว รวมถึงทุกคนที่ให้กำลังใจ จากนี้ขอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ แต่จะกลับมารายงานตัวเพื่อทำกิจกรรมสาธารณะหรือบำเพ็ญประโยชน์ ตามที่ศาลมีคำสั่งไว้ตามกำหนดทุกนัดแน่นอน