เมื่อวันที่ 17 ต.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พอใจภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยให้กับประชาชนทุกกลุ่มตามนโยบายรัฐบาล ขณะนี้จำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 1 ร้อยละ 51 และเข็ม 2 แล้วถึงร้อยละ 35 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรกลุ่มเป้าหมาย สธ. รายงานข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-16 ต.ค.2564 ยอดสะสมทั้งประเทศอยู่ที่ 65 ล้านโด๊สแล้ว แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีดสะสมจำนวน 37,609,600 ราย คิดเป็นร้อยละ 51 ของประชากร เข็มที่ 2 ฉีดสะสมจำนวน 26,007,497 ราย คิดเป็น ร้อยละ 35 ของประชากร และเข็มที่ 3 ฉีดสะสม จำนวน 1.8 ล้านราย 

นายธนกร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้รัฐบาลมั่นใจว่า จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศได้ตามเป้าหมายที่กำหนดคือ 100 ล้านโดส ครอบคลุมคนไทย จำนวน 50 ล้านคน คิดเป็น 70% ของจำนวนประชากร ภายในปี 2564 ได้สำเร็จและสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยได้รับมาในปี 2564 ทั้งวัคซีนที่รัฐจัดหาและวัคซีนทางเลือกรวมกว่า 179  ล้านโด๊ส

นายธนกร กล่าวถึงความคืบหน้าเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธี Kick Off ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับนักเรียนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยกระทรวงศึกษาธิการรายงานข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 15 ตุลาคม มีจำนวนนักเรียน/นักศึกษารวมทั้งหมด 5 ล้านคน แสดงความประสงค์รับวัคซีน 3.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 74.15 นักเรียน/นักศึกษาที่ได้รับวัคซีนแล้ว 902,186 คน คิดเป็นร้อยละ 24.25 ขณะที่ กระทรวง อว. ก็ให้บริการฉีดวัคซีนนักศึกษาและบุคลากรกว่า 1 ล้านคน โดยหวังว่า ระบบการเรียนการสอนของไทยทั้งระดับพื้นฐานและอุดมศึกษา ส่วนใหญ่สามารถกลับมาเปิดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติภายในเดือน พ.ย.นี้

นายธนกร กล่าวว่า ขณะเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมยังเปิดเผยว่า มีผู้ต้องขังที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 212,932 คน จากจำนวนทั้งหมด 284,190 คน และผู้ต้องขังฉีดวัคซีนครบสองเข็มจำนวน 66,416 ราย ส่วนผู้ต้องขังจำนวน 71,258 คน เป็นผู้ติดเชื้อโควิดที่ต้องรอการฉีดวัคซีนหลังจากที่หายแล้ว 1-3 เดือน การฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังจำนวนมากนี้ จะทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในเรือนจำลดลงต่อเนื่องด้วย

“นายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชม การฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไทยที่มีการพัฒนาการอย่างรวดเร็วนี้ สะท้อนความสามารถในการจัดหาวัคซีนและการผนึกกำลังของภาครัฐ เอกชน ประชาชนและทีมแพทย์ ที่ได้จัดจุดบริการฉีดวัคซีนทั้งในและนอกโรงพยาบาล เช่น สนามกีฬา มหาวิทยาลัย ศูนย์การประชุม ศูนย์การค้า สำหรับบริการประชาชนทั่วประเทศ และที่สำคัญ คือ ความร่วมมือกันของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายที่พร้อมใจกันฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น มั่นใจไทยมีความพร้อมสู่การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยในปลายปีนี้ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้” นายธนกร กล่าว.