สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ว่า นางแนนซี เปโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งตอนนี้ถือเป็นหนึ่งในแกนนำของพรรคเดโมแครต กล่าวถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและตัวแทนของพรรค “พ่ายแพ้อย่างยับเยิน” ให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำจากพรรครีพับลิกัน ว่าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวออกจากการแข่งขัน “ให้เร็วกว่านี้” ผลการเลือกตั้ง “น่าจะออกมาดีกว่านี้”
ทั้งนี้ เปโลซีกล่าวว่า การถอนตัวของไบเดนหากเกิดขึ้นเร็ว จะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กับพรรคเดโมแครต ในการที่สมาชิกพรรคซึ่งต้องการเสนอตัว สามารถแข่งขันกันได้มากขึ้น เพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค
Bitter Pelosi now says Biden should have dropped out earlier so Democrats could have ‘open primary’ https://t.co/XKetlsEUKj pic.twitter.com/8XCvNPEALC
— New York Post (@nypost) November 8, 2024
อนึ่ง ไบเดนถอนตัวออกจากการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา หรือราว 1 เดือน หลังการทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ จากการดีเบตกับทรัมป์ ด้วยความที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง พรรคเดโมแครตจึงเร่งสรุปและเสนอชื่อแฮร์ริสให้เป็นตัวแทนพรรค
"A lot of Democrats are very angry at Joe Biden tonight. They feel his decision to run again when he was 80 years old was very reckless."
— Axios Comms (@AxiosComms) November 6, 2024
???? @AlexThomp shared what he was hearing from Democratic sources during @kasie's panel shortly after the race was called. pic.twitter.com/2IUjkjUiaK
ขณะที่นายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนต์ ซึ่งเคยเข้าร่วมกับพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อปี 2559 และ 2563 กล่าวว่า การที่บรรดาแกนนำพรรคเดโมแครตเอาแต่กังวลเรื่องสถานภาพของตัวเอง สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกัน โดยเฉพาะชนชั้นแรงงานที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต
ด้านนายแอนดรูว์ หยาง นักธุรกิจซึ่งเคยแข่งขันกับไบเดนในรอบไพรมารี กล่าวว่า ผู้ที่ “ต้องรับผิดชอบ” ต่อความพ่ายแพ้ครั้งนี้ คือ ไบเดน
ผลสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งชาวอเมริกันที่หน้าคูหา ในวันลงคะแนนเลือกตั้ง 5 พ.ย. ที่ผ่านมา จัดทำโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ปรากฏว่า 4 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่พึงพอใจกับการปฏิบัติหน้าที่ของไบเดน และประมาณ 3 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง ให้ความเห็นถึงขั้น “โกรธเคือง”
อย่างไรก็ดี มากกว่า 6 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง มองว่า “อเมริกาจะดีขึ้นในอนาคต” โดยที่ประมาณ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ซึ่งมีความเห็นตรงกันข้าม.
เครดิตภาพ : AFP