เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ระบบทางเดินหายใจ ที่พบมานานแล้ว ไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ และมีวัคซีนป้องกัน โรคนี้สามารถติดต่อได้ผ่านการไอ จาม และการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าไป มักพบการระบาดในสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก เป็นต้น โดยสถานการณ์ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.–13 พ.ย. 2567 จากระบบเฝ้าระวังโรคดิจิทัล กองระบาดวิทยา (Digital Disease Surveillance: DDS) พบผู้ป่วย 1,290 ราย อัตราป่วย 44.74 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย อัตราป่วยตาย 0.16 % พบรายงานผู้ป่วยมากที่สุดในภาคใต้ โดยเฉพาะเขตสุขภาพที่ 12 จำนวน 1,066 ราย จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงที่สุด คือ ยะลา 575 ราย รองลงมา ได้แก่ ปัตตานี 199 ราย และนราธิวาส 198 ราย ตามลำดับ กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงที่สุด คือ 0–4 ปี จำนวน 795 ราย รองลงมา 5–9 ปี 144 ราย และ 10–14 ปี 42 ราย ตามลำดับ
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ป่วยที่น่าเป็นห่วงคือเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ที่อาจจะได้รับวัคซีนไม่ครบหรือภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ และกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรง ส่วนกลุ่มเด็กโต และผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันไอกรน (รวมคอตีบ บาดทะยัก) ครบตามกำหนด ตั้งแต่ตอนเล็กๆ แล้ว หากป่วยอาการจะไม่รุนแรง มีไข้ น้ำมูก ไปรักษาก็จะดีขึ้น อย่างไรก็ตามหลังอายุ 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันอาจเริ่มตกลง การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ก็จะช่วยลดความรุนแรงจากการป่วยได้
พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับวัคซีนที่อยู่ในโปรแกรมของภาครัฐ (รวมไอกรน) เน้นความครอบคลุมการได้รับวัคซีน ในเด็กอายุ น้อยกว่า 5 ปี ต้องให้ได้มากกว่า 90% ของทุกพื้นที่ (ยกเว้นหัด เน้นความครอบคลุมมากกว่า ร้อยละ 95) ซึ่งจะสามารถป้องกันการระบาดได้ แต่ในขณะนี้พบว่าบางพื้นที่ที่มีการระบาดโรคไอกรน มีการฉีดวัคซีนยังไม่ครอบคลุม จึงขอเน้นย้ำผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนให้ครบตามกำหนด สำหรับเด็กเล็ก ต้องได้รับตั้งแต่ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 1 ขวบครึ่ง และเข็มกระตุ้นตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป สามารถพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนฟรี ได้ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ สำหรับเด็กโต อายุมากกว่า 10 ขวบขึ้นไป และผู้ใหญ่สามารถพิจารณาการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับวัคซีนไอกรนในรูปแบบที่เหมาะสมกับอายุ ต่อไป
นอกจากวัคซีนแล้ว การป้องกันโรคไอกรนสามารถใช้วิธีปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแก่ผู้อื่นตามคำแนะนำของแพทย์ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อผ่านน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ในผู้สัมผัสผู้ป่วยไอกรน ควรไปรับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อพิจารณาเรื่องยาป้องกันในผู้สัมผัสใกล้ชิดและมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง และควรสังเกตติดตามอาการภายใน 3 สัปดาห์หลังสัมผัสโรค หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422.