เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ จ.อุดรธานี นายพิธา​ ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า​ กล่าวถึ​งกระแสข่าวที่ว่าจะมีการนำเรื่องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน​ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (​ครม.) ​ในวันที่ 19 พ.ย.​ นี้ ว่า​ ตนสนับสนุนให้ขึ้นค่าแรง​ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน แต่มันต้องคิดควบคู่กันไประหว่างเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำกับเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี ที่จะต้องมีมาตรการภาษีไปช่วยเขา ซึ่งต้องให้เครดิตกับรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์​ ชินวัตร​ ที่เคยคิดแบบนี้​ แต่ไม่แน่ใจว่าเหตุใดตอนนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้พูดถึงเลย และเท่าที่เข้าใจคือตอนขึ้นเวทีดีเบตหาเสียงด้วยกัน​ คือปีแรก 400​, 500, 600​ และ 700 บาท ​แต่ตอนนี้อยู่ในเดือน พ.ย. 2567  แล้ว​ นายเศรษ​ฐา​ ทวีสิน​ เข้ามา​เป็นนายกฯ ​เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2566 ผ่านไป 14 เดือนแล้ว​ ค่าแรงยังไม่ขึ้น แรงงานก็เลยคิดว่าทำไมสัญญาไม่เป็นสัญญา แล้วทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้น

เมื่อถามว่ารอบนี้จะขึ้นได้หรือไม่ นายพิธา​ กล่าวว่า​ มีความพยายามจะขึ้นเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว​ เช่น​ สมุย​ ที่ค่าแรงสูงอยู่แล้ว​ แต่ตนก็หวังว่า​ จะไม่ประวิงเวลาแล้ว และสิ่งที่ตัวเองแปลกใจก็คือ เวลามีการเลือกตั้ง​ อบจ. ครั้งหนึ่ง ก็จะสัญญาในลักษณะนี้​ จำได้ว่าตอนเวที อบจ.พิษณุโลก​ ก็มีคนของพรรคเพื่อไทยขึ้นเวที แล้วก็บอกว่าเงินหมื่นกำลังจะมา และพอมาเลือกตั้ง​ อบจ.อุดรธานี ก็บอกอีกว่าเงินหมื่นสำหรับผู้สูงอายุกำลังจะมา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นรัฐบาลมาตั้ง 14 เดือน มันน่าจะทำตามสัญญาได้ตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้น​ หวังว่า​มันจะไม่ใช่การขายฝัน เพราะตนก็เข้าใจหัวอกของพี่น้องแรงงาน เข้าใจถึงหัวอกผู้สูงอายุ ที่เขาลำบากจริงๆ​ ไม่อยากจะเอาเรื่องนี้ มาเป็นประเด็นทางการเมือง​

“แต่สิ่งที่ต้องถามคำถามคือการหาเสียง 2-3 วันที่ผ่านมา เขาหาเสียงเหมือนเขาเป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้หาเสียงเหมือนตัวเองเป็นรัฐบาล ไม่ได้หาเสียงเหมือนนายกฯ เศรษฐา เป็นนายกฯ มาก่อน ตอนนี้ก็ 14 เดือนแล้ว ที่สามารถจะทำได้ง่ายๆ วิธีที่จะให้เงิน 10,000 บาทอะไรก็แล้วแต่ คุณศิริกัญญา ตันสกุล​ นำเสนอมาโดยตลอด และธนาคารแห่งประเทศไทยก็เคยทักท้วงมาตลอด แต่นี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วนไปวนมา และสุดท้ายก็วนกลับมา ทำให้ประชาชนต้องรอถึง 14 เดือน ค่าแรงที่บอกจะขึ้นก็ไม่ขึ้น ก็ไปดูเฉพาะที่มันสูงกว่าอยู่แล้ว หรือพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวอยู่แล้ว แล้วก็ยังรอเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็คิดว่าประชาชนมีสิทธิที่จะตั้งคำถาม ว่ามันเป็นเทคนิคการหาเสียงหรือเป็นเรื่องที่ตั้งใจจริง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา​ ยังกล่าวถึงการแจกเงินหมื่นกลุ่มผู้สูงอายุ​ ว่า​ การแจกเงินไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป สิงคโปร์ก็มีการแจก แต่มันต้องดูพื้นที่การคลังของแต่ละประเทศด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาเรื่องของระยะสั้นก่อน​ ควรจะแจกกลุ่มเปราะบาง ซึ่ง น.ส.ศิริกัญญา​ ก็แนะนำมาเป็นปีแล้ว แต่ก็ไม่ยอมฟังกัน​

เมื่อถามว่าสุดท้ายแล้วกลุ่มอื่นๆ ที่ลงทะเบียนไว้จะได้รับเงินหมื่นหรือไม่ นายพิธา​ กล่าวว่า​ ตนไม่ทราบวิธีคิดจะเป็นอย่างไร​ เพราะตอนที่เป็นนโยบายยื่นให้​ กกต. หรือขึ้นเวทีปราศรัย เขาก็ไม่ได้พูดแบบนี้ เขาบอกว่าจะเป็นบล็อกเชน เป็นดิจิทัลวอลเล็ต และแจกพร้อมกันถ้วนหน้าตั้งแต่ 16 ปี​ ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อย่างน้อยตอนที่ตนยังเป็น​ สส. อยู่​ ก็จำได้ว่าเปลี่ยนไปถึง 7-8 ครั้ง​ ทำให้มันไม่รู้เลย​ว่า​ อะไรจะเป็นอะไรแล้ว