จากกรณี คดีฟ้องร้องกันระหว่าง “จูน-เพ็ญชุลี หนูแก้ว” อดีตภรรยาของ “หนุ่ม กะลา” นักร้องชื่อดัง กับ “จ๊ะโอ๋ งามพริ้ง” หรือ “ปฤณณรัศม์ ศรีโชติวรรักษ์” ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สาม ซึ่งฝ่าย “จ๊ะโอ๋” ได้ฟ้องกลับฝ่าย “จูน” โดยเรื่องอยู่ในกระบวนการทางศาล ทั้งนี้ ฝ่าย “จูน” เคยโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “…วันจันทร์นี้มีนัดขึ้นศาลในฐานะจำเลย แอบได้ยินมาว่าฝ่ายคู่กรณีอยากเจอ ซึ่งเธอก็พร้อมมากเช่นกัน…” ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. “จูน-เพ็ญชุลี หนูแก้ว” ได้เดินทางมาพร้อมกับ “ทนายพัฒน์” ส่วนฝั่ง “จ๊ะโอ๋ งามพริ้ง” คู่กรณีนั้น เดินทางมากับ “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยศาลได้นัด “จูน” มาในฐานะจำเลย โดยใช้เวลาไต่สวนมูลฟ้องอยู่นานกว่า 4 ชั่วโมง ภายหลัง “จูน” และ “ทนายพัฒน์” ร่วมกันเปิดเผยว่า วันนี้ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง ที่ฝั่งผู้เสียหายฟ้อง จูน กับ “เพจอีกี้” ในกรณีที่ทางฝ่ายนั้นอ้างว่า มีการไปว่าจ้างทางเพจอีกี้ให้โพสต์กล่าวหา ทำให้เขาได้รับความเสียหาย วันนี้กับทางฝ่ายนั้นยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน มีเพียงแค่ได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ฝ่ายนั้นไม่ได้มีทีท่าอะไร

ส่วนเรื่องกรณีที่เขากล่าวหาว่าทางเพจ ถูกตนว่าจ้างนั้น มันเป็นเพียงแค่ตอนนั้นประเด็นนี้กำลังดัง ทางเพจต่าง ๆ จึงทักมาขอข้อมูลกับตน ทางเพจนี้ก็เช่นกันเขาก็ทักมาขอข้อมูลกับตน เราก็ตอบในส่วนที่เราตอบได้ ส่วนเรื่องเงิน ก็จะมีการโอนเงินให้ทางบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือในเรื่องบางเรื่อง ไม่ได้เกี่ยวกับการจ้างวาน ข้อความที่ส่งให้กัน ก่อนหน้าที่จะมีการโอนเงินก็มีใจความชัดเจนอยู่แล้ว ว่าไม่ใช่เรื่องการจ้างวาน ทางเรายืนยัน

ส่วนคดีที่มีปัญหากันอยู่ก็รอทางคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ทางศาลไม่มีนัดที่จะมาพูดคุยกันแล้ว วันนี้เป็นเพียงเรื่องการไต่สวนมูลฟ้องเรื่องคดีหมิ่นประมาท ซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ว่าคดีมีมูลหรือไม่ ทางเราพร้อมชี้แจงอยู่แล้วและมีเอกสารทุกอย่างเตรียมพร้อมให้ ถ้าสงสัยเรื่องไหนก็สอบถามมาได้ เรามีหลักฐานและสลิปการโอนเงินทุกอย่าง

การอัปเดตชีวิตของจูน ช่วงนี้ก็ปกติดี ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เรื่องการเลี้ยงลูก ตนก็เลี้ยงลูกเองมาตลอดอยู่แล้ว ก็ไม่ได้มีการปรับตัวอะไรมากมาย ส่วนทางด้านพี่หนุ่มเอง ก็มีการติดต่อพูดคุยแต่ก็แค่เรื่องลูกเท่านั้น เรื่องข่าวตนก็ไม่ได้มีความกังวลเพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ที่เดินทางมาวันนี้ก็เพื่อจะมาชี้แจงว่าเราไม่ได้ทำ ก็ให้มันเป็นไปตามกระบวนการความจริงมันจะได้ปรากฏขึ้น ด้านทนายกล่าวว่า ที่จริงเรื่องนี้ทางตนและคุณจูนได้พยายามเจรจามาโดยตลอด แต่ทางตัวลูกความเองอาจจะมีเงื่อนไข หรือยังไม่พร้อมเปิดใจ แต่เชื่อว่าวันหนึ่งมันก็ต้องจบลง

ด้านทนายเดชา กล่าวว่า บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี ทางโจทก์กับจำเลยก็ได้เจอกัน แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน และได้มีการสืบพยานจำนวน 5 ปาก วันนี้ทางจำเลยที่ 1 ไม่ได้มา มีมาแค่จำเลยที่ 2 และทนายเพียง 2 คน ก่อนหน้านี้ทางตัวจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีการพูดคุยกับทางเรา และยังมีการฟ้องกลับทางเราด้วย เป็นคดีหมิ่นประมาทที่ศาลายา

ส่วนเรื่องของจำเลยที่ 1 มันมีพยาน หลักฐานเยอะอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีข้อมูลด้าน IP Address เพราะว่ามันเป็นเพจอวตาร มันก็ต้องใช้ข้อมูลด้านอื่นๆ ประกอบ แต่ทางเราก็มีพยานหลักฐานพอสมควร อยากฝากไปถึงเพจอวตาร ว่าวันหนึ่งก็จะมีคนจับได้ อย่าไปเที่ยวด่าคนอื่นไปทั่ว ต้องระวัง อยากฝากเอาไว้สำหรับเพจอื่นๆ ให้ระวังตัว วันนี้การไต่สวนเป็นไปในทิศทางของเรื่องการสืบพยาน เกี่ยวกับเรื่องการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ส่วนจะมีมูลหรือไม่ รอศาลตัดสินในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เวลา 09.00 น. ก็จะได้รู้ว่าผลคดีเป็นอย่างไร

“จ๊ะโอ๋ งามพริ้ง” กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้รู้สึกอะไร คิดเพียงแค่ว่าต่างฝ่ายต่างมาทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน เรามาทำหน้าที่ของเรา เขาก็มาทำหน้าที่ของเขา หลังจากนี้ก็ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล โดยตนเตรียมหลักฐานเอกสารมาเยอะพอสมควร

ทนายเดชา กล่าวต่อว่า ทางจำเลยเขาก็ต่อสู้ของเขา ว่าการโอนเงินนั้นเป็นการโอนเงินเพื่อจ้างให้ไปสืบข้อมูลของคุณจ๊ะโอ๋ ไม่ได้จ้างเพื่อมาโจมตีแต่อย่างใด อันเป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา ก็ต้องให้ศาลพิจารณา

ส่วนการเรียกค่าเสียหายก็ยังคงเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านเหมือนเดิม เพราะว่าเสียหายหลายอย่าง ทางแบรนด์เขาก็มีคนมาด่า ส่วนจะได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ศาล เราเคารพกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ส่วนทางคุณจ๊ะโอ๋ ในช่วงนี้ได้มาศาลบ่อยมาก เพราะมีเรื่องการฟ้องร้องคดีอื่นอีก ตนไม่ได้ซีเรียสอะไร ไม่ได้กังวลกับคดีนี้ ตอนนี้ตนมีการฟ้องร้องประมาณ 30 คดีแล้ว เรื่องคนที่มาวิพากษ์วิจารณ์ตน อยากจะฝากไว้ให้หยุดการกระทำ ใน 30 คดีนี้มีสำนักข่าวก็โดน ผู้ประกาศข่าวก็โดน ผู้ดำเนินรายการและชาวบ้านก็มี ตนคัดมาแล้วเป็นพวกที่ด่าตนหนัก ๆ อยากจะฝากไว้ว่าถ้าไม่ชอบก็แค่เลื่อนผ่านไม่ต้องมาด่า ส่วนสื่อมวลชนก็ควรนำเสนอแบบกลางๆ อย่าใส่สีตีไข่เยอะ ถ้าเป็นคดีมาก็จะเหนื่อย.