สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐออกแถลงการณ์ ว่าการที่รัสเซียปรับเปลี่ยนเนื้อหาของหลักนิยมการใช้นิวเคลียร์นั้น “ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย” เนื่องจากรัฐบาลมอสโกส่งสัญญาณในเรื่องนี้ “มานานระยะหนึ่งแล้ว”


รัฐบาลวอชิงตันมองว่า การดำเนินการดังกล่าว “เป็นวาทกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบ” เนื่องจากจนถึงตอนนี้ ตำแหน่งที่ตั้งทรัพย์สินด้านนิวเคลียร์ของรัสเซีย “ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” ดังนั้น สหรัฐถือด้วยว่า “ไม่มีเหตุผล” ที่รัสเซียต้องปรับเปลี่ยนหลักการดังกล่าว


ทั้งนี้ นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ลงนามในกฤษฎีกา ว่าด้วยการขยายขอบเขตของหลักนิยมการใช้นิวเคลียร์ เพื่อตอบสนองต่อความก้าวร้าวของรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งได้รับความสนับสนุนจาก “ชาติที่เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์” หมายถึงยูเครนและสหรัฐ


เปสคอฟกล่าวว่า พฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็น “การโจมตีร่วมกัน” ดังนั้น รัสเซียจึงต้อง “ปรับตัวและเตรียมความพร้อม” และยืนยันว่า การที่รัฐบาลมอสโกมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ป้องกันตัวเอง” และ “เพื่อป้องปราม” เท่านั้น


อนึ่ง ผู้นำรัสเซียเสนอแก้ไขหลักนิยมการใช้นิวเคลียร์ของประเทศ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน รัสเซียจะพิจารณา “ความเป็นไปได้” ของการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ หากฝ่ายความมั่นคงและข่าวกรอง ตรวจพบว่ากำลังมีการเตรียมการใช้ขีปนาวุธ อากาศยาน และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ในระดับที่ถือเป็น “ภัยคุกคามอย่างมีนัยสำคัญ” ต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัสเซีย


นอกจากนี้ ปูตินเน้นย้ำว่า กองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซีย “มีความสำคัญที่สุด” ในการเป็นหลักประกันด้านความปลอดภัยและความมั่นคง ให้กับรัฐและประชาชน


ด้านกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ ว่ากองทัพยูเครนยิงขีปนาวุธนำวิถี “อะแทคซิมส์” 6 ลูก ที่ได้รับมาจากสหรัฐ โจมตีเป้าหมายในภูมิภาคเบรียนสก์ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ เมื่อช่วงรุ่งสางของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น


อย่างไรก็ตาม ระบบป้องกันทางอากาศของกองทัพรัสเซีย สกัดการโจมตีของขีปนาวุธได้อย่างน้อย 5 ลูก ส่วนขีปนาวุธอีกลูกหนึ่ง “ตกในพื้นที่ทางทหาร” แห่งหนึ่ง และส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ “เล็กน้อย” โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันว่า ไม่มีผู้เสียชีวิตและสถานที่แห่งนั้นไม่ได้รับความเสียหาย


ส่วนนายอันเดร ซิบิกา รมว.การต่างประเทศยูเครน กล่าวถึงรายงานที่ว่า สหรัฐอนุญาตให้ยูเครนสามารถใช้อาวุธซึ่งมีพิสัยทำการระยะไกล โจมตีเป้าหมายซึ่งอยู่ไกลออกไปในรัสเซีย “เป็นการเปลี่ยนเกมสงครามอย่างแท้จริง” และจะเป็นการ “สร้างแรงขับเคลื่อนเชิงบวก” ให้กับยูเครน.

เครดิตภาพ : AFP