เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 พ.ย. 67 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน กมธ. มีการประชุม เรื่อง ข้อพิพาทปัญหาที่ดินเขากระโดงในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้มอบหมายให้นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย เข้าร่วมประชุมพร้อมกับอธิบดีกรมที่ดินและคณะ ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ได้ส่ง ผอ.กองกฎหมาย และในส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีนายเอก สิทธิเวคิน รองผู้ว่า รฟท. เข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีนายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย และนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขอเข้าร่วมประชุมด้วย

นายพูนศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมว่า ในการตรวจสอบของ กมธ. จะเน้นการพิจารณาในข้อกฎหมาย หากพบประเด็นใดที่ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายจะเสนอให้แก้ไข ซึ่งรวมถึงการตั้งคณะกรรมการเพิกถอนเอกสารสิทธิ หรือ กรรมการที่ดินที่พิจารณาในข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ที่มีหน้าที่เพิกถอนและออกเอกสารสิทธิต่างๆ หากพบกระบวนการจัดตั้งไม่ถูกต้อง ต้องแก้ไขระเบียบ หรือกฎหมาย อย่างไรก็ดียังมีประเด็นที่ต้องการทราบข้อมูลว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทยจะดำเนินการใดต่อตามคำสั่งของศาลหรือไม่

เมื่อถามว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นมีคนการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมของ กมธ.วันนี้ ไม่ได้พิจารณาเรื่องส่วนของการเมืองที่เข้ามามีอิทธิพลหรือมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้อง

เมื่อถามต่อว่า หากมีคนการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจริงๆ จะสาวถึงเจ้าตัวหรือไม่ นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม กมธ. จะเน้นระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการสอบสวนตาม มาตรา​ 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ว่า มีข้อบกพร่องอย่างไร และหากมีข้อบกพร่องทาง กมธ.จะดำเนินอย่างไร ซึ่งเป็นงานหลักของฝ่ายนิติ​บัญญัติ​ ในการดูว่าข้อกฎหมายช่องโหว่ระเบียบปฏิบัติของฝ่ายบริหารเป็นอย่างไร เพื่อนำมาแก้ไข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศในการประชุม กมธ.ในช่วงแรกให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์และบันทึกภาพ โดยนายทรงศักดิ์ รมช.มหาดไทย  กล่าวในช่วงต้นก่อนเริ่มการประชุมว่า ตนพร้อมให้ความร่วมมือกับ กมธ.ในการตรวจสอบกรณีที่ดินเขากระโดง ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน เพราะเรื่องนี้ไม่ได้กระทบกับสิทธิของคนคนเดียว​ ส่วนของประชาชน​ ตนเห็นตัวเลขก็รู้สึกเห็นใจ 900 กว่าราย ที่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้หลายคนก็เข้าใจว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วถึงที่สุด ที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟทั้งหมด​ แม้ว่าคำพิพากษานั้นถึงที่สุดก็ต้องยอมรับ แต่จะเป็นที่สุดเฉพาะคู่ความ คู่ความคนอื่นที่ไม่ได้เป็นคู่ความก็ต้องมีการพิสูจน์สิทธิว่า การเพิกถอนเอกสารสิทธิ​ หากเพิกถอนทั้งหมด​ จะเป็นธรรมต่อประชาชนหรือไม่.