ถาม : ประเมินสถานการณ์ยานยนต์ของประเทศไทย เนื่องจากการปรับลดยอดผลิตรถยนต์ในประเทศลงมา 200,000 คัน โดยสภาอุตสาหกรรมยานยนต์?
ตอบ : สถานการณ์ยานยนต์ในปัจจุบันค่อนข้างมีความยากลำบาก ผมอยากจะขอเปรียบเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่มียอดการผลิตราว 2 ล้านคัน โดยครึ่งหนึ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน แต่พอมาปีนี้ การผลิตเพื่อส่งออกยังคงตัวอยู่ในระดับเดิมที่ 1 ล้านคันได้ ในขณะที่ยอดผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศลดลง สองปีก่อน ยังอยู่ที่ระดับ 840,000 คัน และในปีนี้อาจจะตกลงมาอยู่ที่ระดับไม่ถึง 6 แสนคัน คือลดลงมากจากเดิมที่เคยขายในประเทศได้ถึง 1 ล้านคัน ในปี 2562
ในส่วนของโตโยต้านั้น เรามีการส่งออกไปต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2562 แต่ยอดขายในประเทศมียอดลดลงตามขนาดตลาด อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายาม ทำให้เราสามารถทำสัดส่วนตลาดรวมในประเทศได้มากกว่า 37% ดังนั้น เมื่อเทียบกับปี 2562 ถึงแม้ว่ายอดการผลิตโดยรวมของเราจะลดลง แต่ยอดการส่งออกที่ยังคงทรงตัวและยอดขายในประเทศที่ลดลงร่วม 20% เมื่อเทียบกับปี พ.ค. 2562 เช่นเดียวกับการหดตัวของตลาดในประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับยอดส่งออกแล้ว เราได้รับผลกระทบเพียงครึ่งหนึ่ง คือมียอดการผลิตที่ลดลงเพียง 10% เท่านั้น ยอดขายในประเทศทั้งหมดที่ระดับไม่เกิน 600,000 คันนี้ ถือว่าต่ำมาก เพราะต้องย้อนไปถึงปี 2552 หรือ14-15 ปีก่อนเลยทีเดียว ที่ประเทศไทยเคยขายได้เพียงเท่านี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นของจีดีพี ในไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 % ของธนาคารแห่งประเทศไทย คงจะทำให้สถานการณ์ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีสัดส่วนต่อจีดีพีถึง 10% เราจึงหวังให้รัฐบาลมีมาตรการที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบากนี้ต่อไปด้วย
ถาม : มองสถานการณ์รถปิกอัพเป็นเช่นไร?
ตอบ : รถปิกอัพเป็นรถที่โตโยต้าให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นรถที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวันรองรับการใช้ทุกรูปแบบ เราเชื่อว่า Demand ยังมีอยู่ แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากในปัจจุบัน และผู้มีรายได้น้อยประสบปัญหาในการซื้อ ทำให้ปัจจุบัน ตลาดรวมรถปิกอัพตกลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 แสนคัน คืออยู่ที่ระดับ 160,000 คัน หากคิดเป็นสัดส่วนต่อยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกรุ่นในประเทศไทยคือ 30% เท่านั้นเอง ในส่วนของโตโยต้า เราได้พัฒนารถปิกอัพ ไฮลักซ์ ให้รองรับกับความต้องการใช้งานต่าง ๆ ของชาวไทย ทำให้ได้รับความไว้วางใจ สร้างสัดส่วนตลาดของยอดขายตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนตุลาคมปีนี้มากกว่า 46% เลยทีเดียว โดยรถปิกอัพมีสัดส่วนการซื้อชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศสูงถึง 80-90% มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าปีนี้จะมียอดขายที่ลดลง แต่รถปิกอัพเป็นรถที่ชาวไทยนิยมใช้งาน เราจะพยายามสร้างยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น
ถาม : มองตลาดรถ BEV ในประเทศไทยอย่างไร?
ตอบ : การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน คงจะไม่มีตัวเลือกเพียงแค่ BEV แต่รถ HEV, PHEV รวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นตัวเลือกที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ด้วย เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีใดจะมีความเหมาะสม ดังที่ได้ประกาศตัวเลขไปแล้วว่า รถ HEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถ BEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1% ตัวเลขทั้งสองนี้ คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น เมื่อลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้ คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริหารหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น Value chain สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ จากที่เราได้ประกาศไว้ในงานนี้เมื่อปีที่แล้วว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากต้นทุนแล้ว ในเรื่องของการใช้งานตามความต้องการของลูกค้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ รถปิกอัพเป็นเสาหลักของเรา ซึ่งเราจะพัฒนารถปิกอัพ BEV ใหม่ออกมาให้ได้ดี ตอบรับความต้องการของลูกค้า โดยการนำไปใช้ในโครงการรถสองแถวโครงการหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้เก็บข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้านการใช้งานต่อไป
ถาม : ความช่วยเหลือที่ต้องการได้จากภาครัฐ?
ตอบ : อย่างที่เรียนให้ทราบในตอนต้นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ เพราะมีสัดส่วนถึง 10% ของ จีดีพี ดังนั้นเราต้องการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล 3 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องแรกคือต้องการให้รัฐบาลมีแผนระยะกลางและระยะยาวที่ตอบรับความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในการสนับสนุนการผลิตรถยนต์กลุ่มที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างสูง นั่นคือ รถปิกอัพ รถ PPV และรถอีโคคาร์, เรื่องที่สองคือการออกมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมในระยะสั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบความยากลำบากดังเช่นในปัจจุบัน และ เรื่องที่สามคือ การสนับสนุนให้มีตัวเลือกยานยนต์ขับขี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่ BEV แต่ให้ครอบคลุมถึง FCEV, PHEV, HEV และรถยนต์ใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ถาม : ตลาดรถยนต์ไทยมีขนาดที่เหมาะสมอยู่เท่าไร?
ตอบ : อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่อยากให้ย้อนกลับไปดูยอดขายในอดีตก่อนคือ ประเทศไทยเคยมียอดขายระดับ 6 แสนคันในปี 2552 ซึ่งขณะนั้น มีการคาดการณ์ตลาดของประเทศไทยคงจะอยู่ที่ระดับ 650,000 คัน แต่หลังจากนั้น ตลาดได้ขยายไปถึง 8 แสนคัน ถึง 1 ล้านคัน และกระโดดไปอยู่ที่ระดับ 1.4 ล้านคันในปีที่รัฐบาลไทยมีนโยบายช่วยเหลือรถคันแรกออกมา และในช่วงหลังจากนั้น ยอดขายในประเทศลดลงเป็น 1.2 ล้านคัน ในปัจจุบัน ยอดจำหน่ายที่ระดับไม่ถึง 6 แสนคันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ เพราะว่าต่ำมาก หากเศรษฐกิจกระเตื้องกลับมา คงจะมาอยู่ที่ระดับ 8 แสนถึง 1 ล้านคันได้
ถาม : ผู้ผลิตจีนมีการเปิดตัวรถปิกอัพขับเคลื่อนไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ ออกมาในงาน Motor Expo ครั้งนี้มีผลอย่างไร?
ตอบ : ปิกอัพ EV เป็นตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้บริโภค การที่ BYD, GEELY, GWM มีตัวเลือกปิกอัพให้นั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์ ผู้ใช้ปิกอัพไทย ต้องการรถปิกอัพไปใช้ในหลายหลากรูปแบบการใช้งาน มีการทำ conversion เพื่อบรรทุกสิ่งของ บรรทุกคน ขนสินค้า ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะพัฒนารถปิกอัพให้รองรับกับความต้องการทั้งหมดนั้นให้ได้ รถปิกอัพ BEV ที่โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายปลายปีหน้า ก็เป็นรถไฮลักซ์ที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ให้ได้ด้วย เราต้องการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านรถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าที่หลากหลายรูปแบบการขับเคลื่อน ให้เหมาะสมกับตลาด และความต้องการของลูกค้า อีกทั้ง รถปิกอัพ BEV ที่เราผลิตนี้เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกด้วย การพัฒนารถยนต์ให้ตอบรับกับความต้องการของประเทศปลายทางการส่งออก ก็เป็นเรื่องท้าทายด้วยเช่นกัน
ถาม : ความต้องการของโตโยต้าในคำถามก่อนหน้านี้เป็นของโตโยต้าเฉพาะหรือของผู้ผลิตอื่นด้วย และต้องการมาตรการระยะสั้นอะไร?
ตอบ : มาตรการระยะยาวที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เป็นความคิดเห็นสรุปที่ได้จากการสอบถามสมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ JCC (หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ) และ TAPMA (สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย) สำหรับมาตรการระยะสั้นที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้น มีที่มาที่ไปจากการกู้ไม่ผ่าน และเศรษฐกิจประสบความยากลำบาก อันมีสาเหตุมาจากสัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 90% เราต้องการให้รัฐบาลผ่อนผันเงื่อนไขการปล่อยกู้ และมีมาตรการช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการเพิ่มสัดส่วนหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น การออกมาตรการที่สร้างสมดุลได้ระหว่างการซื้อรถได้ง่ายขึ้นและการไม่ก่อหนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่อยากจะให้รัฐบาลพิจารณา เพราะจะเป็นการช่วยผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ด้วย และโตโยต้าจะออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รุ่นเฉพาะเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค และสร้างยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป ตอบรับกับ GDP ที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป อีกทั้ง ด้วยเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทส ที่จะดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ให้บริการหลังการขายที่ดี ทำการขายที่มีคุณภาพ ให้กับลูกค้าของเราต่อไป
ถาม : มาตรการต่อรถเก่า ที่ MOI ได้คุยกับประธานอากิโอะ โตโยดะ ที่ญี่ปุ่น?
ตอบ : รถเก่าที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปีของไทยมีถึง 30% ของจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนทั้งหมด และสร้าง PM2.5 สูงถึง 70% ของ PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดังนั้น การมีมาตรการช่วยเหลือให้ผู้ใช้รถเก่าได้เปลี่ยนมาใช้รถใหม่จะเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างยอดขายรถใหม่ไปพร้อมกันได้ ตัวอย่างเช่น ให้ผู้ที่มีรถเก่ากว่า 20 ปี ขายรถทิ้งเป็นซาก แล้วซื้อรถเก่าอายุ 10 ปี หรือผู้ใช้รถเก่าอายุ 10-15 ปีขายรถเก่ามาใช้รถใหม่ เป็นต้น แนวความคิดนี้เรียกว่า ELV (End of Life Vehicle) เป็นมาตรการที่จะบังคับให้มีการบำบัดซากรถยนต์ ให้ผู้ใช้รถเก่าเปลี่ยนมาใช้รถใหม่ ซึ่งมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย
ถาม : จะยังคงการลงทุนในประเทศไทยต่อไปหรือไม่ (จากการที่กลุ่มผลิตญี่ปุ่นจะลงทุน 120,000 ล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า?
ตอบ : อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้หารือร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เมื่อครั้งเดินทางไปประชุมที่กรุงโตเกียว เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา และรัฐบาลไทยได้สรุปยอดรวมการลงทุน 5 ปีข้างหน้าของผู้ผลิตญี่ปุ่นที่ได้เข้าร่วมหารือในครั้งนั้น ออกมาเป็นตัวเลขตามคำถาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยมีความเป็นห่วงว่าผู้ผลิตเอกชนญี่ปุ่นจะยังคงลงทุนหรือไม่ รมว.อุตสาหกรรมไทย (คุณเอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ) ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันความต้องการลงทุนของผู้ผลิตญี่ปุ่น โตโยต้าได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะลงทุนไม่น้อยการที่ได้แจ้งตัวเลขไว้ให้ ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการออกมาช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่มีส่วนพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ คือรถปิกอัพ PPV และรถอีโคคาร์
ถาม : ยอดขายเป้าหมายของ GR Series ในแต่ละรุ่นและจะออก Yaris ATIV รุ่นไฮบริดหรือไม่?
ตอบ : รุ่นละประมาณยี่สิบสามสิบคัน แต่เนื่องจากเป็นรถที่พัฒนาในระดับสากล หากมีความต้องการมากขึ้น จะเพิ่มยอดผลิตเพื่อร้องรับกับความต้องการนั้น ส่วนจะออก Yaris ATIV รุ่นไฮบริดหรือไม่นั้น ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะจำหน่ายในอนาคต แต่โตโยต้าจะพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าทุกระดับออกมารองรับกับความต้องการในอนาคต
ถาม : เป้าหมายของยอดจองในงาน Motor Expo ครั้งนี้?
ตอบ : ปีที่ผ่านมาเรามียอดจอง 7,300 คัน ปีนี้ คงไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีตัวเลขยอดจองเท่าไร คงต้องขึ้นกับสถานการณ์และความสนใจของผู้บริโภคที่มีต่องานในครั้งนี้ได้ เมื่อปีที่แล้วข้าพเจ้าได้บอกว่า เราจะทำยอดจองเป็นอันดับหนึ่งให้ได้ ปีนี้ก็เช่นกัน เราจะทำยอดจองเป็นอันดับหนึ่งให้ได้ ขอให้ทุกท่านให้ความสนับสนุนด้วย
ถาม : การแข่งขันด้านราคาทำให้เกิดการรีรอที่จะซื้อรถ ส่งผลต่อยอดขายในปีนี้ด้วยหรือไม่?
ตอบ : การรีรอที่จะซื้อเพราะการลดราคา 2 ถึง 3 แสนบาท เกิดขึ้นจริง หากลดได้ขนาดนี้ แล้วยังสามารถสร้างกำไรได้ด้วยละก็ คงต้องยอมรับว่าผู้ผลิตจีนมีศักยภาพแข่งขันด้านราคาที่สูงทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลดราคาขนาดนี้คงจะเกิดขึ้นเฉพาะในรถ BEV เท่านั้น โตโยต้าไม่ลด และไม่คิดที่จะลดราคาไปแข่งขันแน่นอน เพราะผู้บริโภคคงต้องการรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หากลดลงราคามากขนาดนี้ จะมีผลกระทบต่อการขายต่อแน่นอน.