นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้เร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ โดยในปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 – พ.ย. 67 (14 เดือน) ได้การปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ ผิดกฎหมายแล้ว 178,609 รายการ หรือ เฉลี่ย 12,757 รายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 8.6 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2566 ตั้งแต่ ต.ค. 2565 – ก.ย. 2566 (12 เดือน) ที่ปิดกั้น 17,670 รายการ หรือ เฉลี่ย 1,472 รายการต่อเดือน
“สถิติตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2567 ทุกเดือนนั้น เนื่องจากการปรับกระบวนการทำงานให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีการตรวจสอบ เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งการดำเนินการกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่มีลักษณะหลอกลงทุนเป็นการกระทำความผิดที่เข้าข่าย ตามมาตรา 14 (1) พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ โดยกระทรวงดีอี มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายในการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รับแจ้งข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้เสียหาย พร้อมนำส่งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หรือในกรณีที่กระทรวงดีอี ทำการตรวจสอบและพบเว็บไซต์ดังกล่าวเอง จะต้องทำการตรวจสอบ เก็บหลักฐานและรวบรวม ยูอาร์แอล เสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ เพื่อนำหลักฐานยื่นคำขอต่อศาลให้มีคำสั่งระงับ / ปิดกั้นการเผยแพร่ข้อมูล และเมื่อศษลมีคำสั่งให้ปิดกั้นเว็บไซต์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นแล้ว กระทรวงฯ จะแจ้งคำสั่งศาลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต สำนักงาน กสทช. และแพลตฟอร์ม เพื่อปิดกั้นเว็บไซต์ ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 – 3 วัน”
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า กรณีที่ยังพบเว็บไซต์บางรายการที่ยังไม่ปิดกั้น / ระงับการเผยแพร่ ภายหลังแจ้งคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มทราบแล้ว ก็เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และสั่งปรับรายวัน โดยมีคำสั่งปรับเป็นพินัยกว่า 21 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาล เหตุไม่ชำระค่าปรับตามคำสั่งศาลและดำเนินการคามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังกล่าว กระทรวงฯ ได้ดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสิ้น เว้นแต่เฉพาะในขั้นตอนการตรวจสอบพยานหลักฐาน ที่ยังมีความจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากพยาน หลักฐานต้องมีองค์ประกอบตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับข้อมูลเว็บไซต์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่แล้วนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดไปพร้อมกัน
“ในส่วนกรณีของหมอบุญ ซึ่งเป็นการหลอกให้ร่วมลงทุน สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ การให้สัมภาษณ์ และให้โบรกเกอร์แจ้งระดมทุนผ่านบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อ้างการระดมทุนจะให้ค่าตอบแทนมากกว่าสถาบันการเงินนั้น อยู่ในอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการตรวจสอบ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดี โดยการปิดกั้นเว็บไซต์ในลักษณะหลอกลงทุนที่มีลักษณะเช่นนี้ ภายหลังจากการรับแจ้งความและดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนแล้ว กระทรวงดีอี ได้ประสานพนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณานำส่งพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ดังกล่าวโดยทันทีด้วยเช่นกัน” นาย ประเสริฐ กล่าว