หากไทยจะขึ้นภาษีเมื่อไร ก็มีเรื่องทุกที เพราะเศรษฐกิจเรายังไม่แข็งแรงพอ ล่าสุดก็ไม่รู้จะมีความเคลื่อนไหวต่อต้านอะไรหรือไม่ เมื่อนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง แย้มว่า “…มีแนวทางในการปรับปรุงการจัดเก็บภาษี ศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลโดยใช้สูตร 15:15:15 เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม( VAT) ให้อยู่ที่ 15% เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เรื่องนี้อยู่ระหว่างการศึกษา..”

นายพิชัย ได้พูดเรื่องนี้เมื่อครั้งไปเป็นองค์ปาฐก งาน Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business ของกรุงเทพธุรกิจ วันที่ 3 ธ.ค.2567 ถึงแนวคิดการปรับภาษี ในส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ผ่านมามีการพิจารณา Global Minimum Tax (GMT) ซึ่งจะปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลของแต่ละประเทศ โดยไทยจะศึกษาการจัดเก็บจาก 20% เป็น 15% ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะมีการศึกษาเพื่อจูงใจการทำงานในประเทศไทย อาจมีการพิจารณาจาก 35% เหลือ 15% ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) หรือภาษีบริโภค โดยทั่วโลกมีการเก็บระหว่าง 15-25% ในขณะที่ไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 7% จากอัตราที่กำหนดไว้ 10% ส่วนสิงคโปร์จัดเก็บที่ 9% และประเทศในยุโรปมีการจัดเก็บที่ 20% ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มถูกจับตามากที่สุดว่าจะขึ้นจาก 7% พรวดไปถึง 15% หรือไม่ จากที่ไทยมี พ.ร.ฎ.ตรึงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้อยู่ที่ 7% มานาน และต่ออายุ พ.ร.ฎ.มาเรื่อยๆ เมื่อหมดอายุ พ.ร.ฎ.เที่ยวนี้จะปรับหรือไม่

การจัดเก็บแบบ Flat Rate (การเก็บภาษีในอัตราเดียวกันทั้งหมด ผู้เสียภาษีทุกคนจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่เท่ากัน) เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่นายกฯ น่าจะต้องรู้ก่อน รมว.คลังพูด ผู้สื่อข่าวจึงไปถาม “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ได้คำตอบว่า เดี๋ยวนายพิชัยจะให้สัมภาษณ์ในรายละเอียด ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าถ้ามีการขึ้นภาษีดังกล่าวจะเดือดร้อน นายกฯ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “…เข้าใจ…”

ก่อนหน้านี้ “ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ( ปชน.) โพสต์ใน X ว่า ทำนองว่า ต้องวิจารณ์เพราะแย้มอัตราภาษีมาก่อนศึกษาเสร็จ “…เอาแค่ข้อเสนอเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะปรับเป็น 15% flat rate ไม่มีขั้นบันได ยกเลิกลดหย่อนทั้งหมด ฟังดูเหมือนจะดี แต่มาดูว่าทุกวันนี้เราเสียภาษีกันจริงๆ (effective tax rate) เท่าไร พบว่า ทุกวันนี้ ถ้าคุณเงินเดือนถึง 300,000 บาท 3.6 ล้านต่อปี น่าจะเสียภาษีจริงๆ หลังลดหย่อนทุกอย่างแล้ว ประมาณ 530,000 บาท หรือ คิดเป็นประมาณ 15% ของรายได้ของคุณ แต่ถ้าคุณเงินเดือน 30,000 บาท คุณเสียภาษีจริงๆ ราว 1% ของรายได้ ภายใต้นโยบายใหม่นี้ เท่ากับว่าคนที่เงินเดือนต่ำกว่า 300,000 บาททุกคนต้องจ่ายภาษีเพิ่มถ้าปรับอัตราเป็น 15% ส่วนคนที่เงินเดือนเกินได้ลดภาษี ยังจะกล้าพูดหรอว่านี่จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าลดแล้วรายได้เข้ารัฐจะพอหรือไม่ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า vat ขึ้นแล้วจะก้าวหน้าหรือถดถอย…” น.ส.ศิริกัญญา โพสต์

คนของฝั่งรัฐบาลเองก็ดูไม่ค่อยเห็นด้วย “แด๊ก”ธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการที่จะหารายได้ภาษีให้เพิ่มขึ้น การขึ้นแวตส่วนหนึ่งเพื่อเอาไปชดเชยรายได้ภาษีที่ลดลงจากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงต้องการหารายได้เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาประเทศผ่านโครงการลงทุนภาครัฐที่สำคัญต่าง ๆ และจัดสวัสดิการให้ประชาชนกลุ่มรายได้น้อยหรือเปราะบาง การมีรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นเพียงพอก็จะช่วยลดการกู้ ลดภาระหนี้สาธารณะ ซึ่งปีนี้คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 65.74% ใกล้เพดาน 70%

แต่การปรับภาษีดังกล่าว ควรทำควบคู่กับการขยายฐานภาษี เช่น การจัดเก็บภาษีจากเศรษฐกิจดิจิทัล หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐและรักษาความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว Flat Rate เหลือ 15% สำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ อาจส่งผลให้ประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำต้องรับภาระภาษีในสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับรายได้ ( จากที่ใช้ระบบขั้นบันได เงินได้มาก อัตราภาษีสูง ) จึงต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของประเทศด้วย

ในสภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ อยู่ระหว่างการฟื้นตัวยังเติบโตไม่เต็มที่ ประชาชนมีรายได้ต่ำ มีหนี้ครัวเรือนสูง ไม่ควรไปเพิ่มภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ถ้าขึ้นแวตถึง 15% นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมีความกังวลเกรงว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยชะงักได้ จากนี้ก็ต้องรอดูกระแสสังคมและผลการศึกษาของรัฐบาลว่า การจัดเก็บภาษีอัตราใหม่จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อเรื่องค่าครองชีพ ปากท้องประชาชนมากกว่ากัน

สำหรับเรื่องที่ “เอิร์ธ” ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่า ในสมัยประชุมที่จะถึง ( 12 ธ.ค.) จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 เรื่องนี้ทางฝั่งเพื่อไทย นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลทำงานมาได้แค่ประมาณ 3 เดือน จึงมองว่าเร็วไปสำหรับการทำภารกิจระดับชาติ ทำให้สันนิษฐานว่าหากมีการยื่นอภิปรายในระยะเวลาอันใกล้นี้คงมีแต่เรื่องเก่า ๆ จึงอยากให้ติดตามการทำงานของรัฐบาลก่อน ถ้ามีประเด็นอะไรส่อทุจริตเรายินดีให้ตรวจสอบ ไม่อยากให้เอาเวลาสภามาเล่นเกมการเมือง

“…ขอฝ่ายค้านอย่าใช้อคติส่วนตัวนำมาประกอบการอภิปราย เพราะเท่าที่ผมสังเกตในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ( อบจ.) ที่ผ่านมามีการนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตี และนำข้อมูลที่ไม่จริงมาพูด เช่นการทำน้ำประปาดื่มได้ด้วยงบประมาณไม่มากที่ จ.ร้อยเอ็ด…”

“…ขอฝ่ายค้านอย่าใช้อคติส่วนตัวนำมาประกอบการอภิปราย เพราะเท่าที่ผมสังเกตในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ( อบจ.) ที่ผ่านมามีการนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตี และนำข้อมูลที่ไม่จริงมาพูด เช่นการทำน้ำประปาดื่มได้ด้วยงบประมาณไม่มากที่ จ.ร้อยเอ็ด…”

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ IMG_8220.webp

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การถูกยื่นอภิปรายไม่วางใจไม่ใช่วิกฤตของรัฐบาล แต่ถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะได้ใช้โอกาสนี้เป็นเวทีในการแถลงผลงานของรัฐบาล ที่หลายเรื่องสะท้อนผ่านโพลหลายสำนักว่าประชาชนพึงพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรือธงเงินดิจอทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ฟื้นเศรษฐกิจ การจ่ายเงินฟื้นฟูเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมาก ปัญหาอยู่ที่ฝ่ายค้านจะหาข้อมูลใดมาอภิปรายแล้วประชาชนได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่พิธีกรรมต้องอภิปรายตามฤดู

ส่วนคดี “นักโทษเทวดา” ที่มีข่าวว่า มีผู้สกัดสำนวนไม่ให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด นายวิทยา อาคมพิทักษ์ รักษาการประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า คดี “อดีตนายกฯ แม้ว” นอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ เรื่องยังไม่เข้ามายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพราะอยู่ในชั้นตรวจสอบ ไม่มีการสกัดวาระไม่ให้เข้าที่ประชุมกรรมการ ตามระบบราชการจะสกัดไม่ได้ ในชั้นรายงานเบื้องต้นเขาทำเสร็จแล้ว ตอนนี้อยู่ในชั้นของคณะกลั่นกรอง ให้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คาดว่าเร็ว ๆ นี้ จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ได้ แต่คงไม่ใช่สัปดาห์หน้า เพราะมีกรรมการหนึ่งคนเดินทางไปต่างประเทศ จึงจะเป็นสัปดาห์ถัดไป ( จึงอนุมานได้ว่า เข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช.เดือนนี้ )

ปิดท้ายกันที่ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกรมที่ดิน เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 ธ.ค.ตนจะลงพื้นตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บริเวณเขากระโดงจังหวัดบุรีรัมย์ ใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การรังวัดที่ดินตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง การตั้งคณะกรรมการ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเป็นอย่างไร ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกาหรือไม่ 2.ตรวจสอบแปลงที่ดินที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับรองแนวเขตที่ รฟท.ต้องแสดงนั้นอยู่ตรงจุดไหน และ 3. ตรวจสอบจุดสิ้นสุดของทางรถไฟที่กิโลเมตร 6.2 และเข้าไปสอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขากระโดง ในเรื่องของการเข้าพักอยู่อาศัย การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และการสร้างอาชีพรายได้ เขามีสิทธิอยู่ในพื้นที่ก่อนหรือไม่อย่างไร ไปดูข้อเท็จจริงอื่นๆว่ามีอะไรบ้างเพื่อจะนำความจริงมาให้สังคมรับทราบ.