ความยากจนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดหรือตามชนบทเท่านั้น แต่ในชุมชมเมืองความเหลื่อมล้ำทางสังคมและรายได้ ส่งผลให้มีคนจนเมืองเกิดขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะประกอบอาชีพรับจ้าง เก็บของเก่าขายทำให้มีรายได้ที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของที่อยู่อาศัย ทำให้การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก สถาบันวิทยาลัยชุมชนมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น และได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จึงได้ร่วมกับเทศบาลเมืองชัยนาท เปิดโครงการ “ปลูกผักปลอดภัย ปลูกสุขภาพดี วิถีเมืองยั่งยืน” ขึ้น

โดยนายเจษฎา สี่พี่น้อง นายกเทศมนตรีเมืองชัยนาท กล่าวว่า เทศบาลเมืองชัยนาท มีความมุ่งมั่นที่จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของประชาชนในเขตเทศบาลมาโดยตลอด การที่สถาบันวิทยาลัยชุมชน (ส.วชช.) เข้ามาช่วยสนับสนุน มีการลงพื้นที่สำรวจความต้องการของชุมชน ซึ่งมีความต้องการที่หลากหลาย ทำให้กำหนดกรอบการช่วยเหลือได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะมีแนวคิดที่จะให้ชุมชนทำกิจกรรมร่วมกันแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียว ดังเช่นโครงการ “ปลูกผักปลอดภัย ปลูกสุขภาพดี วิถีเมืองยั่งยืน”  ที่นำพื้นที่ว่างในชุมชนให้เกิดประโยชน์ เช่น การปลูกผัก เพราะสามารถนำกลับไปประกอบอาหารได้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้

ด้านดร.สุธิมา เทียนงาม หัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเชิงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ส.วชช. กล่าวว่า บทบาทของสถาบันฯ ไม่ใช่มุ่งแต่สอนหนังสือดึงคนที่ขาดโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษา หรือฝึกอบรมเท่านั้น แต่ยังมีพันธกิจการสร้างโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ได้รับองค์ความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทำให้เกิดความยั่งยืนในการดำรงชีวิตอีกด้วย ทั้งนี้ ในปัจจุบันปัญหาสังคมเมือง คือ จำนวนคนจนเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ได้ส่งผลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ คนกลุ่มนี้มีรายได้ที่ไม่แน่นอน มีปัญหาเรื่องที่ดิน ที่อยู่อาศัย ขาดโอกาสเข้าถึงทรัพยากร ขาดโอกาสการเรียนรู้ ซึ่งในจังหวัดชัยนาทประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน  และมีความพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ดังนั้นสถาบันฯ จึงได้ร่วมมือกับเทศบาลเมืองชัยนาท อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้นำชุมชน จัดทำโมเดลแก้ไขปัญหาคนเมืองขึ้น โดยอาศัยกลไกของ อสม.ที่มีความเข้มแข็ง หน่วยงานภาครัฐที่พร้อมให้ความร่วมมือ ทำให้เกิดโครงการ “ปลูกผักปลอดภัย ปลูกสุขภาพดี วิถีเมืองยั่งยืน” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต “คนจนเมือง” มุ่งเป้าปลูกผักแปลงรวมในพื้นที่ 5 จุดและพื้นที่ในบ้าน 122 ครัวเรือน ประกอบด้วย วัดโพธิภาวนาราม ได้แก่ ชุมชนวงษ์โตเก้าพัฒนา ชุมชนสุขใจ ชุมชนโพธิ์ประเสริฐ วัดศรีวิชัย ได้แก่ ชุมชนหลักเมือง พื้นที่กลางชุมชนตรายางสัมพันธ์ พื้นที่กลางชุมชนมณเฑียรทองรุ่งเรือง 1 และ 2 ซึ่งการปลูกผักกินเองจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของแต่ละครอบครัว โดยรูปแบบการดำเนินโครงการนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การปลูกผักในพื้นที่ส่วนกลางของชุมชน  จะจับคู่คนจนในชุมชนกับอสม. โดยมีอสม.เป็นพี่เลี้ยงช่วยปลูกผัก เมื่อผลผลิตออก เทศบาลจะเป็นผู้กำหนดการแจกจ่ายใหกับคนจนในชุมชนนั้น ๆ และอีกส่วนคือ แปลงผักในครัวเรือน เป็นการปลูกตามพื้นที่ของครัวเรือน เช่น ในกะละมัง ตะกร้า โดยมีอสม.สอนการปลูกและติดตามผลทำให้ทุกครัวเรือนสามารถปลูกผักรับประทานเองได้ จะทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารและลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือการให้ชุมชนเหล่านี้เป็นแหล่งจำหน่ายผักปลอดภัยของจังหวัดชัยนาทในอนาคต

ด้านนางนงนุช เกษสาคร ประธาน อสม.วงษ์โตเก้าพัฒนา กล่าวว่า โครงการ “ปลูกผักปลอดภัย ปลูกสุขภาพดี วิถีเมืองยั่งยืน” ของชุมชนวงษ์โตเก้าพัฒนานั้น จะเป็นการร่วมมือกันของกลุ่มอสม.ในการพลิกฟื้นกองขยะป่ารกร้างในบริเวณวัดโพธิภาวนาราม ปรับให้เป็นแปลงปลูกผักพืชสวนครัว ซึ่งการที่ชุมชนต้องดำเนินการในรูปแบบแปลงรวม เพราะกลุ่มเปราะบางในชุมชน ประกอบอาชีพค้าขาย รับจ้าง มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่เพาะปลูก และส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ อสม.จึงมีบทบาทสำคัญที่ขับเคลื่อนโครงการซึ่งผลผลิตที่ออกมาจะแจกจ่ายให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เป็นกลุ่มแรก หลังจากนั้นจะแบ่งปันให้อสม.และชาวบ้าน สุดท้ายคือการจำหน่าย การที่สถาบันวิทยาลัยชุมชน เข้ามาในพื้นที่เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการจุดประกายให้ประชาชนสามารถต่อยอดความคิดและลงมือปฏิบัติได้อย่างแท้จริง เป็นแรงผลักดันให้สามารถขับเคลื่อนชุมชนไปยังเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งหมดนี้คือหนึ่งในพันธกิจที่ ส.วชช.ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนจนเมือง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนจนเมืองในจังหวัดชัยนาทเท่านั้น เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านยากจนที่ยังชีพได้ด้วยเงินสวัสดิการแห่งรัฐในตำบลโพนางดำออก ก็ได้รับการช่วยเหลือจากสถาบันฯ เช่นกัน ด้วยการจัดตั้งกองทุนข้าวสารเพื่อการยังชีพ แจกข้าวสารให้กับชาวบ้านยากจนในพื้นที่ 5 กก.ต่อคนต่อเดือน เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยการดำเนินการช่วงแรกเกิดการระดมทุนจากคณะสงฆ์ เจ้าคณะจังหวัด มูลนิธิหลวงพ่อกรวย และแพลตฟอร์มออนไลน์เทใจดอทคอม ซึ่งในปัจจุบันชาวบ้านยากจนในโครงการไม่ได้เป็นแต่ฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว แต่ได้ปรับตัวจัดทำโรงเห็ดแก้จน นำเงินจากผลกำไรเข้ามาสมทบสนับสนุนกองทุนนี้ด้วย เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็งไม่ใช่รอแต่การช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว