จากกรณี “เดลินิวส์” ตามเกาะติดปัญหาโครงการก่อสร้างพัฒนาเมืองกาฬสินธุ์และเขื่อนป้องกันตลิ่ง ของกรมโยธาธิการและผังเมืองกระทรวงมหาดไทย จัดสรรให้ 8 โครงการยักษ์ รวมงบประมาณ 545 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อนำไปก่อสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวกาฬสินธุ์ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เป็นการพัฒนาเมืองเพื่อความมั่นคงของชาวกาฬสินธุ์ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
‘ขุนพลอีสาน’ ออกโรงจี้กรมโยธาฯ ไล่บี้เอาผิดผู้รับเหมาทิ้งงาน ‘7ชั่วโคตร’
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ทีมข่าวเฉพาะกิจเดลินิวส์ส่วนกลาง รายงานว่า ปัญหา “โครงการ 7 ชั่วโคตร” ซึ่งภายหลังจากที่ นายฉลาด ขามช่วง กมธ.ป.ป.ช.สภา พร้อมคณะ เข้ามารับฟังปัญหาการร้องทุกข์ของประชาชน ทั้ง 8 โครงการ งบประมาณ 545 ล้านบาท ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณก่อสร้างมีความประทับใจ พอใจ และเชื่อว่าปัญหาก่อสร้างนี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบ เพราะนอกจะทำให้รัฐเสียหายแล้ว ประชาชนในพี้นที่ยังได้รับผลกระทบมายาวนาน เป้าหมายเดียวก็คือความจริงใจที่หน่วยตรวจสอบจะต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการที่ผู้บริหารสัญญา กรมโยธาธิการและผังเมือง ต้องเอาผิดกับผู้ทิ้งงานนี้ให้ได้

โดย นายฉลาด ขามช่วง ประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร (ป.กมธ.ป.ป.ช.สภา) กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้า กมธ.ป.ป.ช.สภา สรุปผลการรับเรื่องร้องทุกข์รวมถึงข้อเสนอแนะเพื่อเข้าที่ประชุมและมีมติในการจัดส่งเอกสารในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ในที่ประชุม กมธ.ป.ป.ช.สภา ที่จะนำ 8 หลักการทางพัสดุเข้าตรวจสอบที่ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รอง ป.กมธ.ป.ป.ช.สภา ได้นำเสนอเอาไว้ คือ 1.เอกสารการเริ่มต้นสัญญาทั้งหมด 2.เอกสารการขยายเวลาในการก่อสร้างแต่ละโครงการว่าขยายเวลากี่ครั้งในแต่ละครั้งด้วยเหตุผลอะไร 3.เอกสารเหตุผลในการยกเลิกสัญญา
4.เอกสารการประเมินค่าความเสียหายระหว่างการทำงานและการทิ้งงาน 5.เอกสารเกี่ยวกับการเรียกค่าความเสียหายจากผู้รับจ้าง 6.เอกสารรายละเอียดการเบิกจ่าย 15% ในแต่ละโครงการ ทำอย่างไร มีการคืนเงินในช่วงที่เบิกจ่ายหรือไม่ 7.เอกสารบันทึกประจำวันของกรรมการผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ต่อการทำงานทั้งหมด 8.เอกสารหรือผลการที่ กรมโยธาธิการฯ ได้ดำเนินการทางปกครองอย่างไรกับ 2 หจก.ที่ทิ้งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางปกครองหรือการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายคืนให้กับแผ่นดิน ที่คาดว่าไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ จะได้เอกสารทั้งหมด จากนั้นก็จะมาพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป

ด้านแหล่งข่าวระดังสูง ที่ติดตามปัญหา โครงการ 7 ชั่วโคตร ให้เหตุผลว่า ปัญหาการทิ้งงานจะต้องไม่จบเพียงแค่คำชี้แจงปากเปล่าที่ไม่มีเอกสารจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง จึงทำให้เชื่อได้ว่ากำลังมีความพยายามที่จะดึงเรื่องการตรวจสอบให้ล่าช้ามากที่สุด เพราะคนไทยลืมง่าย หากไม่มีการติดตามเสนอข่าวของสื่อมวลชน เรื่องคงจบไปแล้ว สิ่งที่ต้องการนำเสนอจะเน้นไปที่ความเสียหายที่มีต่อประชาชน โครงการพัฒนาเมืองกาฬสินธุ์ และโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่ง รวม 8 โครงการ 545 ล้านบาท ถือว่าเป็นโครงการที่นาน ๆ ทีจะได้รับการสนับสนุนจากกรมโยธาฯ
เนื่องจากควาพยายามผลักดันของประชาชนในพื้นที่ มีการทำประชาคม นำเสนอความเดือดร้อน จนมีการออกแบบสำรวจและก่อกำเนิดโครงการ แต่ประชาชนก็ต้องพบกับความผิดหวังที่เกิดจากการทิ้งงาน สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล เพียงเพราะผู้บริหารที่เกี่ยวข้องไม่ติดตามหรือดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด ปล่อยให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปถึง 250 บาท ขาดความระมัดระวังประมาทเลินเล่อ ทำให้งบประมาณแผ่นดินและพี่น้องประชาชนเสียโอกาสจากการก่อสร้างในครั้งนี้

“…การที่จะเริ่มต้นสัญญาใหม่ สิ่งที่ประชาชนต้องการเห็นความจริงใจในการแก้ไขปัญหาจากผู้บริหารสัญญา (กรมโยธาฯ) ต้องการมีประชาสัมพันธ์เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ใช่การส่งตัวแทนมาอธิบาย โดยไม่มีเอกสารชี้แจงให้เห็น โดยเฉพาะการริบเงินประกันสัญญา การเรียกเงินแอดวานซ์ 15% รวมถึง การตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด รวมถึงจากกรมโยธาธิการฯ เข้าไปตรวจสอบประเมินค่าความเสียหาย ต้องรู้ให้ได้ว่า ใครเป็นคนเบิกเงิน ใครเป็นคนทิ้งงาน ผู้ทิ้งงานจะต้องชดเชยส่วนต่างเท่าไหร่ เพราะคำชี้แจงของผู้แทนกรมโยธาฯ อธิบายเพียงว่า จะนำงบประมาณที่เหลืออยู่มาดำเนินโครงการต่อ คำว่าเงินที่เหลือก็คือจะทำให้เนื้องานลดน้อยลง เช่นจะก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ปกติจะมีความยาว 100 เมตร
แต่เมื่อถูกทิ้งงาน จะนำเงินที่เหลือมาทำ 100 เมตร คงไม่ได้ ก็คงเหลืออยู่ไม่ถึง 50-80 เมตร คำถามจึงมีอยู่ว่า แล้วเงินที่ถูกเบิกงวดไปรวมแอดวานซ์ไปอยู่ที่ใคร มีการพิจารณาตรวจสอบก่อทำสัญญาจริงหรือไม่ การประชุมครั้งนั้น ผู้แทนกรมโยธาฯ พูดได้ดีมากแต่ไร้หลักฐาน จะไม่แน่ใจว่าการเรียกเงินคืนคือเมื่อไหร่ ได้รับเงินคืนตัวไหนเท่าไหร่ ควรนำมาเปิดเผยเอกสาร เพราะการคืนเงินถือเป็นรายได้แผ่นดิน ปัญหาการก่อสร้างจึงถูกมองได้ว่าการทิ้งงานครั้งนี้จะเป็นพฤติกรรมสมคบคิดหรือไม่ เพราะไม่มีเหตุผลเลยว่าจะต้องทิ้งงาน ทั้งที่ 2 หจก.ขาใหญ่ มีความมั่นคงทางการเงิน สิ่งที่อ้างว่าขาดสภาพคล่องจึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในทุกวันนี้ ทั้งสอง หจก. ก็ยังไปประมูลงานของกรมทางหลวงชนบท ในหลายโครงการฯ จึงขอให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง หากไม่ทำจริงจัง ประเทศชาติสังคมปัจจุบันคงอยู่ยากมากขึ้นทุกวันแน่…” แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวในที่สุด.
