นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ดร.แอ็นสท์ ว็อล์ฟกัง ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ และได้ลงนามในเอกสารความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นการสานต่อความร่วมมือด้านระบบรางในระยะยาวระหว่างประเทศไทย และเยอรมนี ที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กว่า 162 ปี ที่ประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ความร่วมมือระหว่างสองประเทศครอบคลุมทุกภาคส่วน อาทิ ด้านการค้า วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือด้านการรถไฟของประเทศไทย และเยอรมนี เปรียบเสมือนย่างก้าวสู่การพัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สำคัญ ความเชี่ยวชาญของเยอรมนีในระบบรางมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งของประเทศไทย ตั้งแต่รถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงินไปจนถึงระบบขนส่งมวลชนทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ Airport Rail Link และรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (APM)

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวลงนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 59 และต่ออายุมาแล้ว 2 ครั้ง การต่ออายุแถลงการณ์ร่วมครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้การขนส่งระบบรางของประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยจะเป็นการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่ประเทศไทยในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และการบริการขนส่งระบบราง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอน และส่งเสริมการขนส่งทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้จะได้รับการต่ออายุอัตโนมัติเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านรถไฟอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทของทั้งสองประเทศ ในการส่งเสริมนวัตกรรมระบบรางไปพร้อมกับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ด้าน ดร.แอ็นสท์ ว็อล์ฟกัง ไรเชิล กล่าวว่า ความร่วมมือด้านระบบรางที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนานระหว่างเยอรมนีและประเทศไทย มีพื้นฐานมาจากการแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะระหว่างผู้เชี่ยวชาญ โดยภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ สมาคมระบบรางเยอรมัน-ไทย จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดด้านเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งมีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่องกว่าหนึ่งศตวรรษ และมีความมุ่งมั่นร่วมกันในการส่งเสริมแนวทางการขนส่งที่ยั่งยืนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเดินทางในอนาคต (Future Mobility) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ และประเทศอื่น ๆ ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นตัวอย่างของความพยายามร่วมกันของสองประเทศในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาการจราจรติดขัด และการจัดการทรัพยากร เพื่อสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่น และยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปด้วย.