เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ทำไมประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด” โดยระบุว่า หากเทียบสถานะของรัฐธรรมนูญในวันรัฐธรรมนูญ ปีนี้ (10 ธันวาคม 2567) กับวันรัฐธรรมนูญปีที่แล้ว (10 ธันวาคม 2566) สิ่งที่คืบหน้าตามกาลเวลาคือการสิ้นอายุของบทเฉพาะกาล ซึ่งทำให้เราไม่มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มาจากการเแต่งตั้ง มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีและแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลอีกต่อไป แต่อีกมุมหนึ่ง ยังไม่มีสักมาตราในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติม ขณะที่ประเทศเรายังไม่ได้ขยับเข้าใกล้การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่าที่ควร ประชามติที่ต้องจัด ก็ยังไม่ความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตราบใดที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยังไม่ถูกแก้ไข ปัญหาหลายอย่างในการเมืองและสังคมไทยจะยังอยู่ในสภาพที่อำนาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชนมีความอ่อนแอ

1. อำนาจประชาชนอ่อนแอ (โครงสร้างรัฐเปิดช่องให้ ‘อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง’ บั่นทอน ‘อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน’) 2. สิทธิเสรีภาพอ่อนแอ (สิทธิเสรีภาพและสวัสดิการประชาชน แม้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างครอบคลุมและรัดกุมเพียงพอ)

พรรคประชาชน ระบุอีกว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่เพียงเป็นวาระที่หลายพรรคการเมืองเห็นตรงกันตั้งแต่ช่วงรณรงค์เลือกตั้ง แต่ยังเป็นนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและสัญญากับประชาชน แม้พรรคแกนนำรัฐบาลเคยประกาศไว้ชัดเจนตั้งแต่ตอนตั้งรัฐบาล ว่ามีเป้าหมายในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่มาถึงวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าหากรัฐบาลเดินตามแผนเดิมที่จะจัดทำประชามติรวมกัน 3 ครั้ง (หลังจากที่ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ มีผลบังคับใช้) เราจะไม่สามารถมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูกจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป

“หนทางเดียวที่เป็นไปได้ในการทำให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูกจัดทำโดย ส.ส.ร. บังคับใช้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป คือการแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการลดจำนวนประชามติจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง เมื่อต้นปี 2567 พรรคเพื่อไทยและอดีตพรรคก้าวไกล เคยพยายามเดินเส้นทางนี้โดยการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเพิ่มหมวด 15/1 เรื่องให้มี ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ซึ่งจะนำไปสู่การทำประชามติ 2 ครั้ง) เข้าสู่รัฐสภา แต่ประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุร่างดังกล่าวโดยอ้างว่าจะบรรจุได้ต่อเมื่อมีการทำประชามติเพิ่มมาก่อนอีก 1 ครั้ง (รวมกันเป็น 3 ครั้ง) เนื่องจากประธานรัฐสภาตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 แตกต่างจากอดีตพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย” พรรคประชาชน ระบุ

พรรคประชาชน ระบุอีกว่า ดังนั้น ด่านแรกที่จะทำให้เส้นทางประชามติ 2 ครั้ง กลับมามีความเป็นไปได้ คือการขอให้ประธานรัฐสภาทบทวนการตัดสินใจจากเมื่อตอนต้นปีและหันมาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ส.ร. เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา โดยในการประชุมระหว่างคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ กับประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 เราพบว่ามีข้อมูล 2 ชุด ที่ประธานรัฐสภายังไม่ได้ใช้ประกอบการการวินิจฉัยเมื่อตอนต้นปี และเป็นข้อมูลสำคัญที่เราเห็นว่าจะช่วยสนับสนุนว่าการทำประชามติ 2 ครั้ง สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
(1) คำวินิจฉัยรายบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ประกอบคำวินิจฉัยกลาง 4/2565
(2) ผลการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่าง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ กับ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.

ดังนั้น ในวันเปิดสมัยประชุมสภา 12 ธ.ค. นี้ พรรคประชาชนจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเพิ่มหมวด 15/1 (เรื่องให้มี ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) เข้าสู่รัฐสภาอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้ประธานรัฐสภาและคณะกรรมการที่ให้คำปรึกษาประธานรัฐสภา ได้วินิจฉัยเรื่องนี้อีกครั้งด้วยข้อมูล 2 ชุดดังกล่าวที่เพิ่มเติมเข้ามา

“หากประธานรัฐสภาตัดสินใจบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ส.ร. เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา พรรคประชาชนหวังว่าสมาชิกรัฐสภาทุกคน (ทั้ง สส. ซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน และ สว.) จะร่วมมือกันผลักดันและเห็นชอบร่างดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้เรามี ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีโอกาสทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป” พรรคประชาชน ระบุ