สำนักข่าวซินหัวรายงานจากเมืองไท่หยวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ว่า ห้วงยามจีนเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและเปิดกว้างอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปสงค์ความต้องการทุเรียนของจีนเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน โดยการนำเข้าทุเรียนของจีนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ระหว่างเดือน ม.ค.-ต.ค. ของปีนี้ มีการนำเข้าทุเรียนสดสูงเกิน 1.48 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี


“ไทย” เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ส่งออกทุเรียนสู่จีน ยังคงครองตลาดทุเรียนในจีน ด้วยสินค้าทุเรียนรสชาติหวานมัน ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจผู้บริโภค แต่ขณะเดียวกัน มีการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งกลายเป็นตัวเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวจีน


พ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าปลีก ผู้บริโภค และนักวิจัยตลาดในจีน กล่าวว่า ทุเรียนไทยยังคงมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร และมีแนวโน้มรักษาตำแหน่ง “ผู้นำ” ในตลาดจีนต่อไป หากมุ่งมั่นพัฒนาการควบคุมคุณภาพ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ วิธีทำการตลาด การเพาะปลูกสายพันธุ์ใหม่ และการอุดช่องโหว่ทางอุปทานอย่างต่อเนื่อง


“แม้ทุเรียนก้านยาวของเวียดนามจะราคาไม่แรง แต่ฉันยังชอบรสชาติและคุณภาพทุเรียนหมอนทองของไทยมากกว่า” ความคิดเห็นจากชาวเน็ตคนหนึ่งบนสื่อสังคมออนไลน์จีน ซึ่งมีชาวเน็ตจีนคนอื่น เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ด้านกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อทุเรียนในร้านผลไม้เผยว่า พวกเขาคุ้นเคยกับรสชาติของหมอนทองมานาน และรู้สึกว่าพันธุ์อื่น ๆ มีรสชาติไม่ค่อยถูกปาก


ขณะที่นายหลิว เป่าเฟิง พ่อค้าคนกลาง กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศเดียวที่ส่งออกทุเรียนสดสู่จีนมานานถึง 20 ปี โดยทุเรียนหมอนทองมีรสชาติหวานละมุน จนผู้คนติดใจจนเป็นแฟนคลับ


หากพิจารณาจากฤดูการผลิต ทุเรียนเวียดนามเพียงช่วยเติมเต็มช่องว่างการบริโภคทุเรียนในตลาดจีน ส่วนทุเรียนมาเลเซียที่ถูกนำเข้าสู่จีนครั้งแรก เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา แตกต่างจากทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามในด้านการเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวทุเรียนของมาเลเซียจะต้องรอให้ผลผลิตสุกและตกหล่นลงมาจากต้นเอง รวมถึงทุเรียนมาเลเซียมีกลิ่นและรสชาติเข้มข้นกว่า โดยการต้องรอให้ทุเรียนสุกตามธรรมชาติ ทำให้การขนส่งมีข้อกำหนดมากขึ้น นำสู่การมีราคาสูงขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ผู้บริโภคชาวจีน จึงยังไม่นิยมทุเรียนมาเลเซียเป็นวงกว้าง


ทุเรียนไทยยังคงมีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ในจีน นี่เป็นจุดแข็งสำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถทางการแข่งขันของทุเรียนไทย นายหวัง เย่าหง ประธานสมาคมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ที่เมืองอวิ้นเฉิง ในมณฑลซานซี ทางตอนเหนือของจีน เผยว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมคุณภาพในยามเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพิ่มขึ้น

อนึ่ง บรรดาหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นในจีน จะติด “ตราบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สินค้าเกษตรแห่งประเทศจีน” กับผลไม้ที่มีความพิเศษ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการและสมาคมธุรกิจบางส่วนจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และติดรหัสคิวอาร์บนบรรจุภัณฑ์ของผลไม้ที่เข้าสู่ตลาด


รหัสคิวอาร์แต่ละอันมีลักษณะเฉพาะตัว เปรียบเสมือน “บัตรประจำตัว” ของผลไม้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ “วงจรชีวิตเต็ม” ของผลไม้ที่ซื้อไปด้วยการสแกนรหัสคิวอาร์นี้ เพื่อป้องกันการสวมรอย ซึ่งนับเป็นวิธีการที่คุ้มค่าสำหรับทุเรียนไทย

พ่อค้าแม่ค้าและผู้บริโภคส่วนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเทียบกับการค้าทุเรียนในเวียดนามและมาเลเซีย ไทยสามารถสร้างสายพันธุ์ทุเรียนที่มีคุณภาพสูงขึ้น และใช้ประโยชน์จากระบบโลจิสติกส์อันมีประสิทธิภาพ ระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยให้ผู้บริโภคชาวจีนได้รับประทานทุเรียนไทยที่ดีและสดใหม่ยิ่งขึ้น


ปัจจุบัน เวียดนามสามารถขนส่งทุเรียนตรงสู่จีน ผ่านการขนส่งทางบก ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้น ทำให้ครองส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้น


ส่วนทุเรียนมาเลเซียซึ่งเก็บเกี่ยวตอนสุกแล้ว ทำให้ต้องรีบรับประทานภายใน 2-3 วัน และปัจจุบันต้องขนส่งทางอากาศเท่านั้นเพื่อรักษาคุณภาพ


ทั้งนี้ ตลาดทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่ และปัจจุบันยังคงเน้นบริโภคทุเรียนสดเป็นหลัก ไม่ได้บูรณาการและพัฒนาเชิงลึกร่วมกับอุตสาหกรรมอื่น เช่น การจัดเลี้ยงและอาหาร จึงมีศักยภาพมหาศาลในการพัฒนาในอนาคต เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายแห่ง พยายามแสวงหาการส่งออกทุเรียนสู่จีน

การส่งออกทุเรียนไทยสู่จีน มีสิ่งที่มิอาจมองข้าม 2 ประการ ได้แก่ 1) สร้างสรรค์การตลาดรูปแบบใหม่ เสริมสร้างการสื่อสารกับผู้ค้าปลีกในจีน ด้วยการเปิดร้านค้าพิเศษ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เปลี่ยนคืนสินค้าที่เน่าเสีย ฯลฯ เพื่อกระชับความนิยมทุเรียนไทยของผู้บริโภคชาวจีน 2) พยายามเสริมสร้างการเพาะปลูกทุเรียนสายพันธุ์ใหม่ เพื่ออุดช่องว่างในอุปทานทุเรียนไทย.

ข้อมูล-ภาพ : XINHUA