เรียกได้ว่าหายหน้าหายตาไปนานร่วม 10 กว่าปี “มะหมี่ นภคปภา” อดีตนักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ ที่มีบทบาทใหม่กับการเป็นคุณแม่ลูก 2 ของลูกสาวฝาแฝดน้องอเซียและน้องซิณเฏียร์วัย 4 ขวบครึ่ง ซึ่งล่าสุดเธอพร้อมเปิดใจย้อนเล่าเหตุการณ์สุดระทึกตกเลือดกลางสนามบินในต่างแดน หวิดแท้งและเกิดอาการครรภ์เป็นพิษแบบเฉียบพลันจนเกือบตายมาแล้ว โดยเธอได้เล่าวิกฤติเรื่องราวที่เจอระหว่างตั้งท้องในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 โดยเธอได้เผยว่า

“เรียกได้ว่าเป็น 10 กว่าปีเลยที่กลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งเลยค่ะ แทบไม่ได้ออกรายการไหนเลย ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับสามี เดินทางไปเที่ยวต่างๆ ที่เหลือก็คือตั้งใจมีลูกเลย ถามถึงว่าตอนนี้กลับมาทำงานในวงการบันเทิงแล้วเหรอ จริงๆ ก็ยังไม่ได้ทำแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีภาพยนตร์ต่างชาติที่ทำแล้วแต่ยังไม่ได้ออนแอร์ ยังสนใจภาพยนตร์อยู่ค่ะเพราะรู้สึกว่าภาพยนตร์เป็นแนวของเรา ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจก็ยินดีรับค่ะ ส่วนตอนนี้เป็นคุณแม่ฟูลไทม์แล้วค่ะ ลูก 2 คนฝาแฝด อายุ 4 ขวบครึ่ง กำลังพูดช่างถาม ชื่อซินเฏียร์กับอเซีย ความหมายของอเซียหมายถึงพระอาทิตย์ขึ้นเป็นภาษากรีกพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก คุณพ่อเป็นคนคิดชื่อ คุณพ่อเป็นคนบัลแกเรีย ซึ่งเรากับสามีเจอกันในไนท์คลับ เจอกันโดยบังเอิญเขามาทริปเมืองไทยเพื่อที่จะมาเยี่ยมเพื่อนที่มีภรรยาเป็นคนไทยคลอดลูกหลังจากนั้นเขาก็ไปทานข้าวกัน แล้วก็ไปเที่ยวกันที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งในประเทศไทย วันนั้นเราก็ไปส่งเพื่อนเพื่อที่จะไปเจอเพื่อนของเรา เจอกันประมาณ 15 นาทีเองนะ ทักทายกันแล้วก็ต่างคนต่างแยก เพื่อนเราอยู่ต่อเพื่อนเราบอกว่าเขามาถามฉันว่าให้ชวนเธอออกไปกินข้าวได้มั้ย แต่เพื่อนไม่กล้าบอกเรา เพื่อนก็เลยถือวิสาสะคือชวนเราไปเลยพร้อมกับชวนเขา ก็เลยไปนั่งทานข้าวด้วยกัน ได้ทำความรู้จักกันแล้วก็จีบกัน

สำหรับเรื่องลูกกว่าจะได้แฝดคือยากมาก จริงๆ แล้วเราเริ่มเบื่อชีวิตที่จะต้องตามสามีเดินทางไปที่นั่นที่นี่แล้ว เราเลยบอกสามีว่าเราเริ่มเบื่อที่จะไปเที่ยวที่เดิมๆ หรือตามเขาไปทำงานที่ต่างๆ เวลาเขาบิน สามีบอกว่าต่อไปเธอจะไม่เบื่อแล้วนะถ้าเธอจะมีลูก ก็เลยลองกัน ลองด้วยวิธีธรรมชาติแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ลองกันมานานมากเกือบ 3 ปี เพื่อนของเราเลยแนะนำให้ไปที่อินโดนีเซีย ที่มาเลเซีย ที่สิงคโปร์ คือไปมาทุกที่แล้ว อย่างที่แรกที่ไปคือมาเลเซีย คุณหมอเก่งมากแต่ว่าไม่ติดก็ไปอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็เปลี่ยนที่ พอไม่สำเร็จเราก็เปลี่ยนหมอไปที่อินโดนีเซียใช้เวลาปีนึงก็ไม่ได้อีก เลยเปลี่ยนไปที่สิงคโปร์ก็ไม่ได้น่าจะปีครึ่ง คือมันท้อจนแบบว่าหรือเราจะยอมแพ้หรือเราอายุเยอะคือเราโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเราแน่เลย รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย แล้วมีอยู่วันหนึ่งไปเจอเพื่อนคนหนึ่งอายุ 48 เขาบอกว่าเขาทำสำเร็จที่เมืองไทยแล้วหมอท่านนี้ก็เก่งมากเลยเขาก็เลยแนะนำให้เราไปหาคุณหมอท่านนี้ เราก็ไปแต่ปีแรกไม่ติด คุณหมอบอกว่าไม่ต้องห่วงเขาจะปรับวิธีให้ใหม่ เราก็เลยบอกคุณหมอว่าถ้ารอบนี้ไม่ติดแล้วจะขอย้ายประวัติทั้งหมดเพื่อที่จะไปทำต่อที่สิงคโปร์ คุณหมอบอกว่าโอเคผมจะทำให้คุณติดรอบนี้เลย คุณหมอเลยใส่ตัวอ่อนที่ผสมแล้วให้หมดเลยคือ 3 เพราะเนื่องจากว่าเรามีภาวะแท้งบ่อย ติดแล้วหลุด คุณหมอเขาก็คำนวณแล้วว่าลอง 2 ตัวแล้วก็ไม่ติด คุณหมอก็เลยลองใส่ 3 เลย แต่จริงๆ คุณหมอเขาก็ไม่แนะนำว่าให้ใส่แต่ด้วยความที่เรามีภาวะไม่เหมือนคนไข้คนอื่นๆ คุณหมอเลยแนะนำว่าให้ใส่ไปให้หมดเลย สรุปที่เมืองไทยใช้เวลาไปปีครึ่ง

วินาทีที่รู้ว่าท้องตั้งแต่ 10 วันแรกที่ใส่คือแพ้หนักมาก เห็นอะไรก็อ้วก ได้กลิ่นอะไรก็อ้วกออกมาหมดเลย แต่เราไม่บอกใครเรากลัวจะเป็นเหตุการณ์แบบครั้งก่อนๆ ที่เราเคยท้องได้ 2-3 เดือนแล้วก็หลุดมันเหนื่อยมาก ซึ่งเราบอกสามีตอนอายุครรภ์ประมาณ 5 เดือนกว่า บอกสามีตอนที่ไปทริปที่ออสเตรีย คือสามีรู้ว่าท้องแต่ไม่รู้รายละเอียดว่าเราท้องกี่คน ตอนแรกที่คุณหมอซาวด์คิดว่าติด 3 เพราะว่ามันมีไข่เป็นฟองออกมา 3 แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะมีหัวใจเต้นออกมากี่ดวง แค่ 3 ใบเป็นฟองเราก็ตกใจแล้วเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะจัดการอยู่มั้ยแล้วคือท้อง 5 เดือน สามีไม่รู้ว่าเป็นลูกแฝด นี่แค่เริ่มต้น ความสะพรึงจริงๆ จะเกิดหลังจากนี้ เราบินไปที่ออสเตรียเพื่อไปสกีกัน สามีอยากให้เราไปเที่ยวได้พักผ่อน จริงๆ โปรแกรมนี้จัดมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ก่อนที่เราจะท้อง ก็ไปเที่ยวกันแต่เราเล่นสกีไม่ได้ เราก็ไปนั่งนอนเฝ้าสามีไปชมวิว พอถึงเวลาที่ต้องบินกลับ ต้องขับรถจากออสเตรียเพื่อที่จะไปที่มิวนิก เพราะเราซื้อตั๋วจากที่นั่น เช็กอินเรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินขึ้นเครื่องก็รู้สึกว่าทำไมมันแฉะๆ เปียกๆ เหมือนมีน้ำอะไรไหลออกมาแต่เราไม่รู้ แล้วตรงขาเรามันเปียก เลยบอกสามีว่าต้องเข้าห้องน้ำก่อนเช็กดูก่อน เราถอดเราก็ลงนั่งเลยปุ๊บก็รู้สึกเหมือนมีอะไรหล่นออกมา ยังไม่กล้าที่จะดูเลยแหวกขาแล้วก้มดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปรากฎว่าเราเห็นเลือดเป็นก้อนเลยก็ตกใจมือสั่นเราก็ไม่กล้าลุกกลัวลุกแล้วเดี๋ยวอะไรหลุด เราก็เลยโทรฯ เรียกสามีให้เข้ามาดูหน่อย เลือดมันไหลเต็มชักโครกไปหมดเลยแล้วก็ร้องกรี๊ด สามีก็วิ่งพุ่งเข้ามาแล้วก็เรียกรถฉุกเฉินพุ่งตรงไปโรงพยาบาลเลย จากการตกเลือดในครั้งนี้สามีเพิ่งรู้ว่าท้องแฝด คือเราก็ถือเคล็ดว่า 6 เดือนแล้วค่อยบอกว่าเรามีฝาแฝด สามีเลยรู้ตอนนั้นเลยรีบไปเช็กมันค่อนข้างอันตรายเพราะถ้าเด็กหลุดไปคนหนึ่งแล้วมันมีโอกาสที่จะอีกคนไม่รอด ครรภ์แฝดต้องได้รับการดูแลจากคุณหมอทุกวีคไม่ใช่แค่เดือนหนึ่งแล้วไปหรือสามเดือนแล้วไป สรุปไม่ได้บินกลับไทยต้องนอนโรงพยาบาลที่มิวนิก ให้คุณหมออัลตราซาวด์แล้ว เห็นหัวใจดวงเดียว เรามือสั่นจะร้องไห้ คุณหมอถามว่าแน่ใจนะว่ามีลูกแฝด ก็บอกว่าแน่ใจซิฉันเช็กมากับคุณหมอ ก่อนมาก็เช็กมาหัวใจเต้น 2 ดวง คุณเช็กอีกทีได้ไหม เขาก็หาอีกทีหนึ่งก็เจอรู้สึกดีขึ้นมาเลย แต่คุณหมอบอกว่าแต่มีอย่างหนึ้งที่แอบน่ากลัวต่อจากนี้คุณอาจเดินทางไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะฉันเห็นรกมันต่ำมากเลยยืนแล้วก็หลุดได้เลยเพราะฉะนั้นคุณเดินทางไปไหนไม่ได้แล้วนะ คุณต้องนอนรักษาตัวที่นี่ ไม่สามารถลุกจากเตียงได้เลย ซึ่งมันเป็นอาการภาวะแท้งคุกคาม คุณหมอเลยแอดมิตให้นอนโรงพยาบาลเลยทุกอย่างอยู่บนเตียงหมดเลย ไม่สามารถที่จะขยับได้ จะเข้าห้องน้ำก็มีพยาบาลมาจัดการ เราเลยต้องอยู่ที่มิวนิกอยู่ไปประมาณ 3 วีค จนกระทั่งรกมันเริ่มไล่ขึ้นๆ คุณหมอก็เลยบอกว่าเดินได้นิดหน่อย แต่ไม่ให้เดินยาวๆ แรงๆ แต่ยังมีความกังวลเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา มันไม่ใช่ที่ที่เราสามารถคุยกับใครหรือระบายกับใครได้มันทำให้เครียดกว่าเดิม

แผนตอนนั้นคืออยากกลับเมืองไทย บอกกับสามีว่าไม่คิดว่าจะอยู่ได้ ไม่มีเพื่อนคุย สามียังต้องเดินทางประชุมแต่ละที่อยู่เท่ากับว่าเราต้องอยู่คนเดียว มันเหงามาก เราไม่ได้มีเพื่อนที่มิวนิก มีแต่เพื่อนสามีเราที่คอยช่วยสื่อสารกับนางพยาบาลให้ สื่อสารกับคุณหมอให้ ซื้อข้าวซื้อของให้เรา แต่เราจะใช้เขาทุกวันทุกครั้งไม่ได้ มันรู้สึกว่าไม่ใช่บ้านเราอยู่ไม่ได้ คือเราวางแผนต้องกลับเมืองไทยให้ได้แต่คุณหมอไม่เซ็นอนุญาตให้บิน เราก็ร้องไห้ บอกสามีว่าถ้าไม่ได้กลับ ภาวะจิตใจเราไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มันมีวิธีไหนได้บ้าง แต่คุณหมอก็ไม่อนุญาต โดยเราขออนุญาตให้คุณหมอเซ็นให้บินกลับไทยถึง 3 คน แต่ไม่มีใครอนุมัติ ไม่มีใครอนุญาตให้บินเลย คนแรกบอกว่าถ้ามีภาวะแบบนี้ไม่มีที่ไหนอนุญาตเพราะเราอาจจะไปตายบนเครื่องได้ มันไม่ใช่เรื่องแค่ว่าถ้าตกเลือดแล้วพาไปส่ง มันต้องคนทั้งเครื่องให้เราคนเดียวเพื่อที่จะเอาเราไปส่งที่โรงพยาบาลมันคือเรื่องใหญ่ แล้วถ้าไม่ทันแล้วเลือดมันออกเยอะช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะตุยเลยบนนั้น คุณหมอท่านที่สอง คุณหมอท่านที่สามก็บอกเหมือนกัน จนเราบอกว่าไม่อยู่ ไม่เอา อยู่ไม่ได้จริงๆ สามีต้องเดินทางมันเหงา เหมือนเราอยู่คนเดียวในห้องแคบๆ สามีก็เลยติดต่อคุณหมอที่เป็นคุณหมอบัลแกเรียแต่เขาทำงานอยู่ที่เยอรมันก็ไปเข้าพบแล้วเขาก็ช่วยเซ็น แต่เขาก็ยังมีบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ แต่เพื่อความสบายใจของคุณแม่เป็นหลัก เพราะเราดูเครียดมาก อาจจะมีผบกระทบกับเด็กในครรภ์ ถ้าอย่างนั้นเขาขอเซ็นให้ ให้เดินทาง แต่ไม่ขอรับผิดชอบ สาเหตุที่ตัดสินใจว่าเราจะต้องกลับ คือเป็นไงเป็นกัน ใจตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น เรารู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราจะต้องอยู่ อาหารก็ไม่ได้เลย กินไม่ได้เลย เราเหงามากเลย ยิ่งสามีไม่อยู่ มันไม่มีเพื่อน มันเหงาจริงๆ

วินาทีที่ก้าวเท้าขึ้นเครื่อง พอเครื่องเทคออฟ เราเดินช้าอย่างกับมด ต้องขอรถเข็น เพราะว่าเราก็กลัวทำอะไรให้ซอฟต์ที่สุด คุณหมอบอกว่าความกดอากาศมีผลต่อครรภ์ ตอนนั้นครรภ์ก็เริ่มอายุมากขึ้นกลายเป็น 6 เดือนกว่าแล้ว การเดินทางในวันนั้นก็สมูทค่ะ ทำทุกอย่างช้าๆ เรียกได้ว่าใส่แพมเพิสได้ใส่เลย ไม่ต้องลุก ไม่ต้องทำอะไรเลย สามีก็คอยปลอยทุกอย่างจะโอเคมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ซึ่งวินาทีที่เหยียบถึงเมืองไทย เราดีใจมากที่จะได้คุยกับแม่ ช่วงนั้นที่ถึงเมืองไทยก็เริ่มมีโรคระบาดแต่สามีจะต้องบินไปทำงานต่อก็เลยบอกว่าเธอต้องระวังนะเผื่อมีอะไร หลังจากนั้นโควิดระบาดเลยสามีเดินทางกลับมาประเทศไทยปิดประเทศพอดีเลย ดีใจมาก ไม่งั้นเขาจะติดแหง็กเลยอาจจะไม่ได้มาตอนเราคลอด นี่จะเสียใจมากจะทำให้เรากดดันกว่าเดิม พอกลับมาเมืองไทยได้ซักแป๊บเดียว พออายุครรภ์เริ่มเยอะแล้ว เราก็มีดูฤกษ์ดูยามว่าเวลานี้เด็กคลอดแล้วดี ผ่าแล้วดีเราก็โทรฯ คุยกับพระท่านว่าคลอดประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจะดีมากเลย เราก็ไปคุยกับคุณหมอว่าขอคลอดกลางเดือน แต่พอช่วงต้นเดือนเรารู้สึกเรามีอาการแปลกๆ เท้าเราบวมอย่างกับช้าง แต่คุณหมอบอกว่าไม่เป็นไรอันนี้คือปกติแล้วทุกครั้งมะหมี่ต้องเข้าไปตรวจเลือดทุกๆ วีค แต่ละวีคที่เข้าไปไม่เคยมีผลอะไรที่บ่งบอกว่าเราครรภ์เป็นพิษเลย เลือดไม่โชว์ ปัสสาวะไม่โชว์ ไม่มีอาการอะไรโชว์เลย จนกระทั่งอีกวีคหนึ่งเราไปหาคุณหมอ บอกคุณหมอว่าเราคันมาก เล่าให้คุณหมอฟังว่ามันคันทั้งตัว คันไปใต้ผิวหนัง มันยิบไปหมดมันเหมือนมีพยาธิไต่เราแต่อยู่ข้างในเกาไม่ได้ คันจนนอนไม่หลับ ตอนนั้นอายุครรภ์ประมาณจะ 7 เดือน บอกคุณหมอว่าไม่ได้แล้ว ไม่สามารถที่จะปล่อยไว้ได้แล้ว คุณหมอก็เลยให้ตรวจปัสสาวะแล้วก็ตรวจเลือดอีกรอบหนึ่ง ก็ไม่มีผลไม่มีอะไรบอกเราเลย จนกระทั่งหมอบอกว่าได้วันแล้วนะเร็วสุดวันที่ 7 หาหมอวันที่ 5 เราบอกโอเคบุ๊กเลยค่ะผ่าเลยเพราะว่าไม่สามารถแล้วมันคันมาก วันที่ 7 เช้าเข้าห้องผ่าตัดคิวแรกเลย คุณหมอผ่าเสร็จภาพที่เราจำได้คือผ่าลูกออกมาปุ๊ปถ่ายรูปแชะเดียวแล้วหลับไปเลยแต่เสียงที่ได้ยินคือเอาเราเข้าห้องฉุกเฉินเลยเราก็หลับไปยาวเลย 48 ชั่วโมง ตอนตื่นมาทำไมตามันหนักจังมันแปลกๆ เห็นได้แค่ 20% เราก็เห็นสามีใส่ชุดปลอดเชื้อมาเลย เราเห็นสามีเดินมาร้องไห้น้ำตาไหลใจเราก็เสียแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกตายแน่เลยเราก็คิดไปไกลมากเลย เราก็ถามสามีว่าลูกอยู่ไหน สามีก็หันไปทางอื่นว่าจะแสร้งร้องไห้ เราก็คิดว่าลูกเราตายชัวร์ สามีก็บอกว่าใจเย็นๆ เขาก็เปิดกล้องวิดีโอให้ดูว่าเพิ่งไปอาบน้ำให้ลูกมานะ ที่สามีร้องไห้คือไม่ได้จะเสียลูกแต่จะเสียภรรยา คือเรื่องของเราแต่เราไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว สามีถึงเล่าให้ฟังหมดเลยว่าเธอเกิดภาวะเกือบไตวายเฉียบพลัน เธอมีภาวะครรภ์เป็นพิษเฉียบพลันบวกกับเป็นเฮลท์ซินโดรมคือระบบตับไตไส้พุงมันอยู่ในค่าที่สูงกว่าคนปกติซึ่งมีโอกาสไตวายเฉียบพลัน ค่าความดันสูงผิดปกติอยู่ที่ 188 ความดันบน ความดันล่าง 115 คือร่างกายเราระบบภายในพร้อมจะล้มเหลว พร้อมตายได้ทุกเมื่อ มันไม่มีทางรักษา คุณหมอไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร ไม่สามารถรู้ด้วยว่ามันแฝงเพราะผลจากการตรวจเลือดและการตรวจปัสสวะคือหาไม่เจอ มาเจออีกทีคือตอนผ่าแล้ว และระบบความดันมันพุ่งขึ้นสูง ค่าไต ค่าตับ มันอยู่ในเกณฑ์ที่ผิดปกติหมดเลย ถ้าวันนั้นไม่เกิดอาการคันแล้วบอกหมอว่าไม่ไหวแล้วอีก 2 วัน ถ้าไม่ได้คลอด ไม่ได้ผ่า มีสิทธิตายทั้งกลมค่ะ เพราะว่าระบบข้างในคือค่ามันเปลี่ยน คุณหมอบอกว่าเคสของมะหมี่คือหาได้น้อยมากที่เมืองไทยแทบจะไม่มีเลย ต้องรักษาตามอาการ เช่นถ้าค่าตับค่าไตสูงขึ้นก็ต้องให้ยา ในขณะที่เราให้ยาเราก็ไม่ได้อยู่กับลูก ไม่ได้ให้นมลูก โมเมนต์ที่ลูกออกมาแล้วเข้าเต้าเลย ไม่มีเลย

ตอนนี้เลี้ยงลูกติดกล้องวงจรปิด 20 ตัว โรคจิตไงคะ คือคนไม่เคยมีลูกก็จะระแวงไปหมด แม้แต่พี่เลี้ยงที่ผ่านการเทรนด์เราก็รู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นความวิตกกังวลและความวิตกจริต ติดแม้กระทั่งในห้องน้ำค่ะ เราเห็นหลายอย่างเรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยถ้าลูกตกหรือจมน้ำ อย่างน้อยป้องกันเอาไว้จะได้ไม่เกิดการผิดพลาด เวลาสามีกับภรรยาเลี้ยงลูกจะชอบทะเลาะกัน จะเลี้ยงไม่เหมือนกัน ซึ่งบ้านนี้หัวจะปวด สาเหตุที่เราทะเลาะกันเพราะว่าเราอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงเพราะเป็นช่วงโควิดปิดประเทศออกไปไหนไม่ได้ ช่วงแรกที่เอาน้องกลับมาหลังจากพักฟื้นตัวแล้วลูกร้องไม่รู้จะทำยังไง กล่อมก็แล้วก็อะไรก็แล้ว ให้นมก็แล้ว ก็ไม่หยุด เลยโทรฯ เรียกรถพยาบาลให้กลับมารับลูกไปเลี้ยงต่อที พยาบาลบอกว่าเราไม่มีนโยบายนี้นะคะ คุณแม่ต้องเลี้ยงต่อเองนะคะ หลังจากนั้นเรารู้สึกว่าอยากจะเลี้ยงเองไม่ต้องมีพี่เลี้ยงก็ได้ ผ่านไปวันแรกไม่ได้หลับไม่ได้นอน อีกคนตื่น อีกคนหลับ อีกคนหลับ อีกคนตื่น สามีเขาเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ เขาบอกว่าเธอทำแบบนี้ไม่ถูกต้องเพราะเธอไม่ใช่โรบอท เธอต้องเลี้ยงลูกให้เป็นรูทีน เช่น น้องตื่นกี่โมงให้ตื่นพร้อมกัน เข้าเต้าพร้อมกัน เอาไปนอนพร้อมกัน แรกๆ ก็ไม่พร้อม เราก็เถียงว่าไม่ได้ซิ ต้องแล้วแต่เด็ก เธอจะบังคับเด็กได้ไงเด็กจะตื่น เด็กจะนอน เถียงกันบ้านแตก ถึงขั้นเราโมโหมากโยนลูกให้สามีบนเตียงเอาไปเลี้ยงเลย 2 คน เราก็ปิดห้องขังตัวเองอยู่ร้องไห้ๆ วันนั้น ณ โมเมนต์นั้นถึงขั้นถ้าบ้านไม่มีกรงกั้นโดดลงไปข้างล่างแล้ว โดดโชว์สามีเลย มีความใจเด็ดใจกล้าบอกไม่ถูก อันนี้คุณสามีหลายๆ ท่าน หลายๆครอบครัวต้องระวัง คำพูดมันเซนซิทีฟมากสำหรับคนเป็นแม่หลังคลอด พอสามีพูดไม่เข้าหูนิดนึงใจมันพร้อมตายมาก พร้อมฆ่าตัวตาย ในห้องนั้นถ้ามีมีดเราจ้วงตัวเราเองไปแล้ว ตอนนี้เลี้ยงลูกชีวิตมีความสุขมากค่ะ ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว”



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก napakpapha