สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า อินโดนีเซียซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผชิญกับอุปสรรคภายใน ซึ่งรวมถึงการบริโภคในครัวเรือนที่ซบเซา เนื่องจากประชากรชนชั้นกลางหดตัว และโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดใหม่นำมาใช้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง

ขณะที่ไทยกำลังมองหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ขับเคลื่อนโดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แม้ต้องเผชิญอุปสรรคจากการบริโภคภายในประเทศที่ต่ำ หนี้ครัวเรือนที่สูง และความไม่มั่นคงทางการเมือง

ในมาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งมีผลงานทางเศรษฐกิจโดดเด่น เมื่อปี 2567 ความท้าทายหลักคือ การรักษาโมเมนตัมและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ต่อไป ท่ามกลางความท้าทายระดับโลก

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะขยายขอบเขตให้ครอบคลุมสินค้าของบริษัทสัญชาติจีน ที่ตั้งฐานการผลิตอยู่ในประเทศอื่น เช่น เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม การแสวงหาพันธมิตรใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาจีนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดหลายแห่งของยุโรป กำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกอย่างจีนและญี่ปุ่น เผชิญกับภาวะเงินฝืด

ตามการคาดการณ์เศรษฐกิจ เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) การเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อปี 2567 ได้รับการปรับปรุงขึ้นเป็น 4.7% จาก 4.5% ด้วยแรงสนับสนุนจากการส่งออก และการใช้จ่ายทุนสาธารณะในเศรษฐกิจขนาดใหญ่.

เครดิตภาพ : AFP