เริ่มต้นปีใหม่ 2568 มาได้ไม่นาน กรุงเทพมหานครก็เผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่กลับมาสร้างความกังวลให้กับประชาชนอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าฝุ่น PM2.5 ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานว่า ค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ในบางวันสูงถึง 60-70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) และบางพื้นที่อาจสูงถึง 80-90 มคก./ลบ.ม. ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ค่าฝุ่นกลับมาพุ่งสูงเช่นนี้ ก็เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งการเผาป่าในหลายพื้นที่ การจราจรที่หนาแน่น และสภาพอากาศที่นิ่ง ส่งผลให้ฝุ่นละอองไม่สามารถกระจายตัวได้ดี ทำให้ความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในอากาศสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด และมะเร็งปอด
เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว ‘เครื่องฟอกอากาศ’ จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูคุณภาพอากาศภายในบ้านและสำนักงาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องฟอกอากาศสามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก สารก่อภูมิแพ้ เชื้อโรค และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อากาศที่เราหายใจเข้าไปสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น
การศึกษาต่างๆ พบว่าการใช้เครื่องฟอกอากาศอย่างสม่ำเสมอสามารถลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ในห้องได้ถึง 90% ช่วยบรรเทาอาการของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เครื่องฟอกอากาศจึงกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีหลากหลายรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือกสรร
แล้วเราจะมีวิธีเลือกอย่างไร?
1. ขนาดห้องและค่า CADR
การเลือกเครื่องฟอกอากาศให้ตอบโจทย์การใช้งานนั้น จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย โดยปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขนาดของห้อง’ เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นจะมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดอากาศที่แตกต่างกันไป การเลือกเครื่องที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าอากาศในห้องจะสะอาดบริสุทธิ์อย่างทั่วถึง
หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศ คือ ค่าอัตราการส่งผ่านอากาศบริสุทธิ์ หรือ CADR (Clean Air Delivery Rate) ซึ่งหมายถึงปริมาณอากาศที่เครื่องฟอกอากาศสามารถทำความสะอาดได้ภายใน 1 ชั่วโมง ยิ่งค่า CADR สูง เครื่องก็จะสามารถทำความสะอาดอากาศได้มากขึ้น และเหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ สำหรับการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้อง ควรเลือกเครื่องที่มีค่า CADR มากกว่าขนาดของห้องประมาณ 20-40% เพื่อให้มั่นใจว่าอากาศในห้องจะได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง
นอกจากค่า CADR แล้ว ผู้บริโภคยังสามารถคำนวณหาปริมาตรของห้อง (กว้าง x ยาว x สูง) เพื่อเปรียบเทียบกับค่าที่ระบุไว้บนเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ผลิตจะระบุขนาดห้องที่เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นเหมาะสมไว้บนตัวเครื่องหรือในคู่มือการใช้งาน วิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกเครื่องฟอกอากาศได้อย่างเหมาะสม
2. ลักษณะของห้องที่ใช้งานและฟังก์ชันเพิ่มเติม
นอกจากขนาดห้องแล้ว สถานที่ตั้งของเครื่องฟอกอากาศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา เช่น หากต้องการนำเครื่องฟอกอากาศไปใช้งานในห้องนอนหรือห้องเด็กเล็ก ควรเลือกเครื่องที่มีโหมด Sleep ซึ่งเป็นโหมดที่เครื่องทำงานเงียบ ไม่รบกวนการนอนหลับ นอกจากนี้ ฟังก์ชันการตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติก็เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น
สำหรับห้องอื่น ๆ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงาน อาจเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศ หรือฟังก์ชันปรับความเร็วพัดลมอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้เครื่องสามารถปรับระดับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในห้องได้อย่างอัตโนมัติ
3. ค่ากำลังลม (Air Flow/Air Volume)
ค่ากำลังลมหรือค่าความเร็วในการกรองอากาศ เป็นตัวบ่งบอกถึงปริมาณอากาศที่เครื่องฟอกอากาศสามารถกรองได้ใน 1 ชั่วโมง ยิ่งค่านี้สูง เครื่องก็จะสามารถหมุนเวียนอากาศในห้องได้เร็วขึ้น แต่ก็อาจทำให้เกิดเสียงดังได้มากขึ้น ดังนั้น สำหรับห้องที่ต้องการความเงียบ เช่น ห้องนอน ควรเลือกเครื่องที่มีค่ากำลังลมต่ำ
4. ชนิดของตัวกรอง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้อากาศบริสุทธิ์ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เครื่องฟอกอากาศในปัจจุบันจึงมีตัวกรองหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งมีตั้งแต่
- ตัวกรองพรีฟิลเตอร์ นับเป็นด่านแรกในการกรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่ เช่น ขนสัตว์ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้เลี้ยงสัตว์ ตัวกรองประเภทนี้ช่วยลดภาระการทำงานของตัวกรองชั้นถัดไป ทำให้เครื่องฟอกอากาศมีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น
- ตัวกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอนได้มากกว่า 99.98% ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือแม้แต่เชื้อรา ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้หรือหอบหืด
- ตัวกรองคาร์บอนแอคทีเวท มีบทบาทสำคัญในการดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นบุหรี่ หรือกลิ่นสัตว์เลี้ยง ช่วยสร้างบรรยากาศที่สดชื่นในห้อง
- สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องเชื้อโรค เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบการซีลที่ดี และพัดลมขนาดใหญ่ จะช่วยดึงอากาศในห้องเข้าสู่ระบบกรองได้อย่างทั่วถึง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและสามารถกรองเชื้อไวรัสขนาดเล็กได้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
5. อัตรากำลังไฟที่เครื่องฟอกอากาศใช้ หากเลือกเครื่องที่มีกำลังไฟไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการฟอกอากาศและสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ โดยทั่วไปแล้ว เครื่องฟอกอากาศจะถูกแบ่งออกเป็นขนาดต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน ดังนี้
- เครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก: เหมาะสำหรับห้องขนาด 10-20 ตารางเมตร เช่น ห้องนอน ห้องทำงานขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะใช้กำลังไฟฟ้าประมาณ 20-40 วัตต์
- เครื่องฟอกอากาศขนาดกลาง: เหมาะสำหรับห้องขนาด 20-30 ตารางเมตร เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก โดยทั่วไปจะใช้กำลังไฟฟ้าประมาณ 40-60 วัตต์
- เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่: เหมาะสำหรับห้องขนาด 30 ตารางเมตรขึ้นไป เช่น ห้องโถง ห้องประชุม โดยทั่วไปจะใช้กำลังไฟฟ้าประมาณ 60-80 วัตต์
ทั้งนี้ การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมและดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ได้รับอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์และประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น โดยควรเริ่มจากการเลือกเครื่องที่มีแผ่นกรองคุณภาพดีและมีฉลากประหยัดไฟ เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พลังงานน้อยลง ควรเปลี่ยนแผ่นกรองตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
นอกจากนี้ การเลือกตั้งค่าโหมดการทำงานที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้งาน จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมาก เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เครื่องฟอกอากาศประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขนาดของห้องและปริมาณฝุ่นละอองก็มีผลต่อการใช้พลังงานของเครื่องฟอกอากาศด้วย การเลือกขนาดเครื่องให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้สอยจะช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก: เซฟไทย (กฟภ.)