เมื่อวันที่ 22 ม.ค. บริเวณด้านหน้าแดนเนรมิตเก่า นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ก. เพื่อแจ้งความเอาผิดเพิ่มอีก 1 ข้อหากับนายสัญชัย วันพิรัตน์ หรือ “อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม” หลังพบว่ามีการไลฟ์สดกล่าวหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช และ มหาเถรสมาคม โดย นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้เดินทางมาในฐานะมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา หลังจากที่เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมาได้แจ้งไปแล้วในข้อหาหมิ่นคณะสงฆ์ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์, หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

สำหรับวันนี้มาแจ้งเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ทางสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถรสมาคมมีมติเรียกพระสงฆ์หนึ่งรูปมาแนะนำตักเตือน ซึ่งพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้มีการแก้ไขปรับปรุงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเรื่องก็ได้จบลงแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรากฏว่ามีการไปกล่าวในไลฟ์สดช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ถึงเรื่องนี้ว่า “…การใช้อำนาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมไม่ใช่การใช้อำนาจด้วยธรรม และไม่ได้ทำตามพระธรรมพระวินัย…”

โดยการดำเนินการในเรื่องของการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาเห็นแล้วว่าคนสอนธรรมกล่าวจาบจ้วงด้อยค่ามหาเถรสมาคม คณะกรรมการ รวมถึงกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมีการตักเตือนพระรูปดังกล่าว แต่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกลับเพิกเฉย ปล่อยให้สาวกของเขามาก่นด่าด้อยค่าพระ ส่วนประเด็นที่คู่กรณีมีการด้อยค่าการสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงมีการด้อยค่าวันตรุษจีนนั้น ตนอยากถามกระทรวงวัฒนธรรมว่าพวกท่านทำอะไรอยู่ ปล่อยให้คนเพียงคนเดียวด้อยค่าวัฒนธรรมคนไทย ทั้งไทยพุทธ ไทยพราหมณ์ ไทยจีน

“…อยากถามไปถึงกระทรวงศึกษาธิการว่า ปล่อยให้บุคคลดังกล่าวเข้าไปอบรมในโรงเรียนได้อย่างไร ใช่ครับ เวลาอบรมพูดดี แต่เวลาไปไลฟ์สดพูดกูพูดมึง แล้วเด็กมันติดตามไปดูในไลฟ์ ก็เอาตามพูดกูพูดมึง สอนให้ลูกพูดกูพูดมึงกับพ่อแม่มันใช้ได้ที่ไหน…”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ อาจารย์เบียร์ ได้มีการออกมาบอกว่า พร้อมที่จะคุยแก้ไขหากมีการตักเตือน ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความ มองว่าอย่างไร ทนายอนันต์ชัย ระบุว่า เป็นการพูดไปเรื่อย พูดหาเรื่อง ตนอยากให้เขาได้รับบทเรียน และไปว่ากันตามกระบวนการทางกฎหมาย หลังจากนั้นจะไปปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยน ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาก็ต้องได้รับบทเรียนในสิ่งที่ทำ ทั้งนี้ ยืนยันว่าทางเราไม่ได้มีความขัดแย้งกับเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ทำตามหน้าที่พุทธศาสนิกชน และไม่หนักใจกับคนที่ด่าว่ากล่าว ตนให้อภัย เพราะเขาไม่รู้ความจริง.