ในเรื่องการผลักดัน พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รัฐบาลเร่งรัดให้กฎหมายเข้าสภาได้โดยเร็ว ไม่ให้เกินกว่าสมัยประชุมนี้ ตอนนี้ขั้นตอนอยู่คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ เป็นประธาน เพื่อกลั่นกรอง ถ้อยคำ รัฐบาลบรรจุไว้ในแผนกฎหมายเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการภายใน 50 วัน และกฤษฎีกาพยายามทำให้ทัน
นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) แถลงข่าวถึงร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ว่า ไม่เห็นด้วยที่จะไม่กำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดในกฎหมายฉบับนี้ และเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ควรจำกัดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนที่จะเปิดในช่วงแรก เกรงว่า ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรจะปล่อยให้คณะกรรมการนโยบายไปกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่สถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่มีการกำหนดสัดส่วนที่แน่นอนไว้ในกฎหมาย เช่น ไม่เกิน 5-10%

“หากมีนักลงทุนต่างชาติเสนอมาให้พื้นที่กาสิโน 50–60% ของพื้นที่ทั้งหมดโดยอ้างว่าเพื่อคุ้มค่าการลงทุนนับแสนล้านบาท และคณะกรรมการนโยบายอนุญาตได้ เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดสัดส่วนพื้นที่ไว้ จะขัดกับหลักการที่มีกฎหมายฉบับนี้ที่มุ่งเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยวและไม่ได้มุ่งเน้นการพนัน และ ควรกำหนดจำนวนกาสิโนที่จะมีได้ในกฎหมาย ไม่ใช่ใช้คณะกรรมการกฎหมายอนุญาตหมด จะเกิดผลกระทบมากหากเปิดหลายๆ ที่”
เรื่องน่าสนใจในการประชุมสภา วันที่ 29 ม.ค. คือการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … ตามที่ ครม.เป็นผู้เสนอ และร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … ที่ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. เป็นผู้เสนอ ทั้ง 2 ร่าง มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันคือ การพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะในรูปแบบต่างๆ โดยใช้บัตรโดยสารใบเดียวสามารถเดินทางได้ทุกระบบขนส่งสาธารณะ นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ชี้แจงหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับของ ครม.ว่า เป็นการจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมให้มีมาตรฐานกลาง มีกำหนดอัตราโดยสารร่วมในการออกกฎกระทรวง เพื่อไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคต
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ กล่าวว่า ตั๋วร่วมตามแนวทางร่างของ ปชน.จะเน้นระบบสาธารณะทุกระบบ ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เน้นหรืออุดหนุนเฉพาะรถไฟฟ้า แล้วละเลยรถเมล์ กรณีตั๋วร่วม 20 บาท ตลอดสายของ ครม.หมายถึงเฉพาะรถไฟ รถไฟฟ้า แต่ของ ปชน.มีราคา 8-45 บาท ตลอดทาง รวมทุกระบบทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ และร่างพรรคประชาชนยังเพิ่มสัดส่วนผู้แทนประชาชนในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม

สมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการของร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ และลงมติเห็นด้วยรับหลักการ 367 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง และตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … จำนวน 31 คน ใช้ร่าง ครม. เป็นหลักในการพิจารณาวาระ 2 ต่อไป ซึ่งระบบตั๋วร่วมจะลดค่าใช้จ่ายประชาชนได้มาก แต่ก็ต้องรอดูว่า กมธ.จะปรับแก้อย่างไร และยึดตามรัฐบาลหรือไม่
สำหรับภารกิจของ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ได้ไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นประธาน การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2568 นายกฯ อิ๊งค์ได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกกระทรวงที่กำกับดูแลหน่วยรับงบประมาณให้จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาล
“โครงการอะไรเร่งด่วนทำก่อน อะไรสามารถรอได้ก็รอไปก่อน เพราะในปี 2569 เรามีงบประมาณที่จำกัด อยากให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ขอเน้นย้ำใน 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องฝุ่น จากข้อมูลดาวเทียมพบว่าฮอตสปอต (จุดที่มีการเผา) ยังเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก และจากพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ฝุ่นละอองยังคงมีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2. เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน ขอให้ทุกกระทรวงดำเนินการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ภารกิจของกระทรวง เช่น การสถาปนาความสัมพันธ์แบบเมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดของไทยกับเมืองหรือมณฑลกับประเทศจีน ให้เพิ่มเติมจาก 40 คู่ความสัมพันธ์ เป็น 50 คู่ความสัมพันธ์ 3. งานด้านความมั่นคง ที่ ตร.เป็นหน่วยงานสำคัญที่จะร่วมดำเนินการเรื่องยาเสพติด อาชญากรรมไซเบอร์ รวมไปถึงเรื่องการให้สัญชาติและถิ่นที่อยู่ถาวรกับกลุ่มชาติพันธุ์ ให้ทำให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว”

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ จากการที่ “หมอเกศ” เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.ได้แจ้งรายได้ในรายการบัญชีทรัพย์สินว่า มี “รายได้จากการแขวนป้ายหมอ” 210,000 บาทต่อปี ทำให้เกิดข้อวิพากษ์ว่า เป็นไปตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือไม่ ซึ่งแหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า น.ส.เกศกมลยื่นขออนุญาตเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ในคลินิกชื่อ “เกศกมล คลินิก” ที่จังหวัดเพชรบุรี ราวๆ ปี 2557 และยื่นขอต่อใบอนุญาตทุกๆ 2 ปี มาตลอด 10 ปี กระทั่งปี 2567 มีการแจ้งเปลี่ยนชื่อแพทย์ผู้ดำเนินการ
“เมื่อใดก็ตามที่ยื่นเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลแล้ว จะต้องประจำอยู่ที่สถานพยาบาลนั้นตลอดช่วงเวลาที่ยื่นขออนุญาตเปิดสถานพยาบาลนั้นๆ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้มอบอำนาจให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าไปตรวจสอบรายละเอียดได้ ไปดูว่า ในช่วง 10 ปี ที่ยื่นเป็นผู้ดำเนินการนั้น ได้เข้าไปปฏิบัติงานจริงๆ หรือไม่ อยู่ในจังหวัดเพชรบุรีหรือไม่ การเชิญมาให้ข้อมูลอาจจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจาก น.ส.เกศกมลเป็น สว. อีกทั้งยังอยู่ในสมัยการประชุม มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ที่ทำได้ คือ การที่ สสจ.เข้าไปตรวจสอบย้อนหลัง ถ้าทำงานจริงก็ไม่มีปัญหา แต่ควรจะเขียน หรือแจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจในการตรวจบัญชีทรัพย์สินว่า มีรายได้จากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ไม่ใช่ไปแจ้งว่า รายได้จากการแขวนป้ายหมอ”
การหาเสียงเลือกนายก อบจ.ก็เข้มข้นขึ้นทุกทีรับโค้งสุดท้าย ที่สิงห์ เชียงราย สเตเดี้ยม “อดีตนายกฯ แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงพื้นที่ช่วย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย หาเสียง อดีตนายกฯ กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า หลายคนอาจจะคิดว่าทักษิณจะเอาอย่างไรกับเรื่อง อบจ. ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจเรื่องท้องถิ่น วันนี้บ้านเราฐานรากกำลังสึกหรอ เสาเข็มพังหมดแล้ว ซ่อมยาก ต้องใช้แนวร่วมช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจ

“นั่นคือการใช้ท้องถิ่นให้มากขึ้น ท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยฟื้นพวกเราชาวรากหญ้า และชนบททั้งหลาย ฉะนั้นท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเป็นทีมเดียวกัน เพื่อช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจให้พี่น้อง วันนี้ประเทศไทยอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้ามากไปหน่อย ต่อไปเราก็ต้องแก้ปัญหาล่วงหน้าแล้ว อบจ. เป็นกำลังสำคัญของรัฐบาล
เราต้องช่วยกันดูว่าจะสร้างอะไรที่เป็นแมนเมด (สถานท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้าง) เพิ่มให้เชียงรายหลังน้ำท่วม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะการคมนาคมจีนสะดวกขึ้น อีกหน่อยจะมีคนตัดถนนจากประเทศลาว เข้ามาทางเชียงราย ลาวมาเชียงรายจะเป็นถนนไฮเวย์ เราต้องเตรียมรับนักท่องเที่ยว และฟื้นเศรษฐกิจให้แข็งแรง” อดีตนายกฯ กล่าว
วันที่ 1 ก.พ.รู้กันว่า เลือกนายก อบจ. 47 จังหวัด เพื่อไทยจะกวาดเก้าอี้ได้เยอะที่สุดหรือไม่.
“ทีมข่าวการเมือง”