เมื่อวันที่ 2 ก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึง ป.ป.ช. โดยใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ตามความในมาตรา 106 เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2567 ว่า การแจ้งบัญชีรายละเอียดรายการหนี้สินอื่น จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 4,434,522,338.02 บาท ซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน ไม่มีดอกเบี้ยนั้น ดอกเบี้ยที่ไม่ต้องจ่าย จะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ และนับจากวันที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดอกเบี้ยที่ไม่ต้องจ่าย จะเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานของรัฐฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า เหตุที่ขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบมีข้อเท็จจริงอันควรสงสัยตามกฎหมายและประกาศของ ป.ป.ช. รวมทั้งตามประมวลรัษฎากร ดังนี้  1. จากการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. พบว่า น.ส.แพทองธาร ได้ยื่นบัญชีฯ กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 67 โดยมีบัญชีทรัพย์สินเป็นเงินลงทุน 11,007,772,574.35 บาท มีรายได้เงินปันผล 259,267,639.90 บาท มีหนี้สินอื่น 4,434,522,338.02 บาท แต่ไม่มีดอกเบี้ยจ่าย  2. จากการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. พบว่า บัญชีรายละเอียดรายการหนี้สินอื่น จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 4,434,522,338.02 บาท โดยรายการที่ 1, 2, 3, 4, 5, 9 เป็นหนี้ 6 รายการ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2559 และรายการที่ 6, 7, 8 เป็นหนี้ 3 รายการ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2566 ซึ่งรายละเอียด ป.ป.ช. ควรทราบดีแล้วนั้น

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า 3. เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 68 สำนักข่าวแห่งหนึ่ง พาดหัว ไขที่มาหนี้ 4,434.5 ล. ‘แพทองธาร’ ที่แท้ตั๋วสัญญาใช้เงินค่าหุ้น 9 บ.ครอบครัว-ไม่มีดอกเบี้ย โดยมีรายละเอียดตามสำเนาข่าวที่แนบ 4. เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 สำนักดังกล่าว พาดหัว ‘แพทองธาร’ ปัดตอบเรื่องบัญชีทรัพย์สิน วอน ‘สื่อ’ ช่วยเซฟดิฉันด้วย โดยมีรายละเอียดตามสำเนาข่าวที่แนบ 5. บัญชีรายละเอียดรายการหนี้สินอื่น จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 4,434,522,338.02 บาท ซึ่งจากข้อมูลสำนักข่าวฯ  ที่ระบุว่า เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินให้เมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย นั้น จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบตามประมวลรัษฎากรก่อนว่า ดอกเบี้ยที่ไม่ต้องจ่ายนั้น ถือเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 หรือไม่ เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 วงเล็บใด หรือไม่ และได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 วงเล็บใด หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า 6. บัญชีรายละเอียดรายการหนี้สินอื่น จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 4,434,522,338.02 บาท ซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน ไม่มีดอกเบี้ย นั้น จึงมีเหตุอันควร ตรวจสอบตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 ต่อไปว่า กรณีดังกล่าว เป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระค่าหุ้นตามที่สำนักข่าวดังกล่าวระบุไว้ใช่หรือไม่ เมื่อไม่ต้องมีดอกเบี้ยตามตัวสัญญาใช้เงิน ที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ดอกเบี้ยที่ไม่ต้องจ่าย จะเข้าข่ายเป็นการรับประโยชน์ที่ไม่ใช่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยานับจากวันที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่.