การดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานเสมอไม่ใช่แค่การเติมน้ำมันหรือทำความสะอาดรถเป็นประจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตรวจเช็กเครื่องยนต์เป็นประจำ และเปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งานด้วย เพราะการละเลยการตรวจสภาพเครื่องยนต์นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพ สมรรถนะเครื่องยนต์และการขับขี่แล้ว ยังส่งผลต่อความปลอดภัยในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่อาจสูงกว่าเดิม และวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 5 อะไหล่รถยนต์ชิ้นสำคัญที่ควรเปลี่ยนเมื่อถึงอายุการใช้งาน เพื่อรักษาสมรรถนะรถยนต์และการขับขี่ที่ปลอดภัย จะมีอะไรบ้างตามมาดูเลย!

1. น้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องเป็นเสมือนเลือดของรถยนต์ มีหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนอะไหล่ภายในเครื่องยนต์ เพื่อลดการเสียดสีและควบคุมความร้อน หากไม่มีการเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนด ปล่อยให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ อาจก่อให้เกิดการสะสมของเขม่า สิ่งสกปรกในเครื่องยนต์ได้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก และเครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้น ดังนั้นควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนด ทุก 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน และควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกัน เพราะไส้กรองที่อุดตันจะทำให้น้ำมันเครื่องหมุนเวียนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

2. แบตเตอรี่รถยนต์ 

แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่จ่ายไฟให้ระบบไฟฟ้าภายในรถ รวมถึงการสตาร์ตรถ หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพหรือหมดไฟ รถจะไม่สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามแบตเตอรี่จนกระทั่งรถสตาร์ตไม่ติดกะทันหัน ซึ่งแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี จึงควรตรวจเช็กและเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุก 2-3 ปีนั่นเอง และควรหมั่นตรวจเช็กแรงดันไฟฟ้า หากพบว่าวัดค่าได้ต่ำกว่า 12 โวลต์ หรือมีปัญหาในการสตาร์ตรถบ่อยๆ แนะนำให้รีบตรวจเช็กแบตเตอรี่และเปลี่ยนทันที   

3. ผ้าเบรกและจานเบรก

ระบบเบรกเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ หากผ้าเบรกสึกหรอหรือหมดสภาพ จะทำให้ระยะเบรกยาวขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นาน จานเบรกอาจเสียหายหรือบิดตัวได้ โดยสามารถสังเกตจากมีเสียงดังขณะเหยียบเบรก ระยะเบรกยาวขึ้น หรือมีอาการพวงมาลัยสั่นเมื่อเหยียบเบรก ซึ่งควรเปลี่ยนผ้าเบรกทุก 30,000 – 50,000 กิโลเมตร หรือเมื่อได้ยินเสียงเสียดสีขณะเบรก ส่วนจานเบรกควรเปลี่ยนเมื่อพบรอยสึกหรือบิดงอหลังการใช้งานไปประมาณ 80,000 – 100,000 กิโลเมตร หรือเมื่อตรวจพบว่าเบรกไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

4. สายพานเครื่องยนต์ (สายพานไทม์มิ่ง/สายพานหน้าเครื่อง)

สายพานเครื่องยนต์มีหน้าที่ส่งกำลังระหว่างส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ เช่น ปั๊มน้ำ ระบบปรับอากาศ และไดชาร์จ หากสายพานขาดระหว่างการขับขี่ จะทำให้เครื่องยนต์หยุดทำงานกะทันหัน และอาจเกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ร้ายแรงได้ โดยสังเกตได้จากมีเสียงสายพานดังผิดปกติ มีรอยแตกร้าวหรือร่องลึกบนสายพาน หรือเครื่องยนต์ทำงานสะดุด แนะนำให้ตรวจเช็กและเปลี่ยนสายพานทุก 100,000 กิโลเมตร หรือเมื่อพบรอยแตกร้าว หากปล่อยให้สายพานหมดสภาพ อาจเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมเครื่องยนต์ที่สูงกว่าได้

5. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์เป็นอะไหล่ที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง ช่วยรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวรถ และทำหน้าที่ช่วยยึดเกาะถนน หากยางรถยนต์เสื่อมสภาพจะทำให้สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน สมรรถนะการขับขี่ลดลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ การลื่นไถล โดยเฉพาะในสภาพถนนเปียกและทางโค้ง ดังนั้นหากพบว่ายางรถยนต์มีรอยแตกลายงาบนหน้ายาง ดอกยางสึกจนความลึกเหลือต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร หรือยางรถยนต์มีสภาพบวมเป็นลูกโป่ง ควรรีบเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที โดยควรเปลี่ยนยางรถยนต์ทุก 3-5 ปี นอกจากนี้ ควรตรวจเช็กแรงดันลมยางและรอยแตกร้าวที่หน้ายางอยู่เสมอด้วย

การดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอด้วยการตรวจเช็กเครื่องยนต์เป็นประจำและเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนด ไม่เพียงช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะยางรถยนต์ ซึ่งเป็นอะไหล่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากยางเสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งานจะส่งผลต่อการยึดเกาะถนน การทรงตัวของรถ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ หากคุณกำลังมองหาศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานในการดูแลรถยนต์ Autobacs ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร มาตรฐานอันดับ 1 จากญี่ปุ่น มียางรถยนต์หลากหลายแบรนด์ชั้นนำให้เลือกสรร พร้อมให้บริการตรวจเช็กและเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ครบวงจร ด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญและอะไหล่คุณภาพสูง มั่นใจได้ว่ารถยนต์คันโปรดจะได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ ให้พร้อมขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและเต็มประสิทธิภาพ สอบถามเพิ่มเติม Tel. 065-504-8000 | Line Official: @autobacsthailand