เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มี.ค. 68 ที่ ห้องพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมพงษ์ สุนทรพรวาที หรือเสี่ยสมพงษ์ พยานคนสำคัญอีก 1 รายในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงชื่อดัง ซึ่งเป็นพยานที่พบร่างของแตงโมเป็นคนแรก ได้เดินทางเข้าพบ นายเกรียงศักดิ์ สุวรรณศรี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการ คณะพนักงานสืบสวนคดีแตงโม โดยมี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เข้าร่วมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โดย นายสมพงษ์ สุนทรพรวาที หรือเสี่ยสมพงษ์ เปิดเผยก่อนให้ปากคำพยานกับดีเอสไอ ว่า วันนี้ตนเดินทางเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ไม่ได้มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น และตั้งใจจะมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเล็กน้อยในวันที่นำเรือออกไปจนพบร่างของแตงโม ส่วนที่มีกระแสสังคมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมตนถึงจำหน้าแตงโมได้ทั้งที่สภาพศพได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั้น ตนต้องบอกว่าด้วยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ ตอนนั้นที่มีข่าวออกมาว่ามีดาราหญิงคือแตงโมตกน้ำและในช่วงจังหวะนั้นจะเป็นศพใครไปไม่ได้นอกจากศพของแตงโม แล้วมองว่าหากเป็นศพอื่นก็เป็นหนึ่งในล้านที่จะมีความเป็นไปได้ในช่วงเวลานั้น

นายสมพงษ์ เผยอีกว่า วันที่ตนนำเรือออกไปค้นหาร่างแตงโม ตนไม่ได้เป็นจิตอาสาแต่เป็นแค่พลเมืองคนหนึ่งที่มีเรือที่ตั้งชื่อว่า “สัจธรรม” จึงอยากจะช่วยสังคมเพราะมีอุปกรณ์ครบและไม่ได้เดือดร้อน แต่การกระทำของตนก็ถูกสังคมโจมตีในทางลบมากกว่าจะชื่นชมกันเสียอีก ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจนำเรือออกไปค้นหาร่างของแตงโมนั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลของตน ซึ่งวันนั้นตนตื่นตั้งแต่ 05.00 น. กะจะเดินไปที่โรงยิมเพื่อไปนั่งสมาธิ โดยช่วงระหว่างที่เดินจากตัวบ้านไปที่โรงยิม จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าแตงโมมาดลจิตดลใจ ตนจึงตั้งจิตถึงแตงโมว่า “หากคุณอยากจะเจอผม เดี๋ยวผมจะเอาเรือลงน้ำ ขอให้ผมเจอคุณเร็วๆ” ซึ่งระหว่างที่กำลังจะนำเรือลงแม่น้ำ ตนได้ถามเด็กที่ดูแลบริเวณท่าเรือว่า “ถ้าหันหน้าไปทางอาคารรัฐสภาจะต้องออกไปทางซ้ายหรือขวา” ซึ่งเด็กที่ดูแลท่าเรือบอกว่า “ถ้าเอาไปทางขวาไปไอคอนสยามไม่มีทางเจออย่างแน่นอนต้องไปทางซ้ายขึ้นไปทางสะพาน พระราม 7 เฮียเจอแน่นอน” ดังนั้น พอออกเรือไปใช้เวลาไม่นานก็เจอร่างของแตงโม ซึ่งส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ยืนยันไม่เกี่ยวกับนั่งสมาธิ แล้วตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่นับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่เกิด
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเสียงในคลิปวันเกิดเหตุมีเสียงลักษณะคล้ายกับเสี่ยสมพงษ์ ที่พูดว่า “เอาเพื่อนมานั่งนี่” นายสมพงษ์หัวเราะก่อนจะลองพูดให้กับผู้สื่อข่าวฟังด้วยประโยคเดียวกัน และย้อนถามผู้สื่อข่าวกลับว่าคล้ายหรือไม่ ก่อนบอกต่อว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ใครจะมองตัวเองยังไงก็ตาม ตัวเองจะไม่ถือโทษโกรธ ไม่ว่าใครจะกล่าวหามองว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ขออโหสิกรรมยกโทษให้ พร้อมกับบอกว่าในสังคมปัจจุบัน หากจะกล่าวหาใครควรจะมีเหตุและผลและใช้สติปัญญามากกว่านี้

นายสมพงษ์ ยังพูดถึงประเด็นที่มีข้อสงสัยว่าตัวเองไปจับไปลากร่างของแตงโมนั้น ยืนยันว่าไม่ได้ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน แต่ช่วงเวลาที่เจอร่างของแตงโมเป็นช่วงที่น้ำกำลังลง และกระแสน้ำแรงมาก ตนต้องพยายามที่จะรั้งร่างของแตงโมไม่ให้เข้าไปถูกใบพัดเรือใต้ท้องเรือ และตนก็ไม่มีการไปจับพลิกร่างของแตงโม ทั้งนี้ ในเรื่องของเชือกต้องบอกว่าเรือทุกลำต้องมีเชือกประจำเรือ และส่วนที่สังคมสงสัยว่าเชือกนั้นเป็นเชือกของตนที่ใช้ผูกร่างของแตงโมนั้น ทางอาสาสมัครกู้ภัยร่วมกตัญญูที่ในวันนั้นมี นายไทด์ เอกพันธ์ เป็นคนนำทีมออกไปค้นหาได้ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเชือกของหนึ่งในเจ้าหน้าที่อาสาสมัครร่วมกตัญญู ไม่ใช่เชือกของตนแต่อย่างใด
นายสมพงษ์ ยังบอกว่า สิ่งที่ตัวเองตั้งข้อสังเกต คือ บริเวณศีรษะช่วงท้ายทอยของแตงโม ตอนที่ตนเจอร่างครั้งแรก มีลักษณะดินโคลนค่อนข้างใหม่ติดอยู่ สันนิษฐานได้ว่าร่างเพิ่งจะลอยขึ้นมาบนน้ำ เพราะหากร่างลอยขึ้นมานานแล้ว ดินโคลนที่ติดอยู่บริเวณท้ายทอยจะต้องแห้ง พร้อมย้ำว่า ในวันนี้ตนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่และไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะเรียกเข้ามาให้ข้อมูลกี่ครั้งก็ยินดีที่จะเดินทางมาทุกครั้ง และก็จะพูดเหมือนที่เคยให้ข้อมูลกับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ นายสมพงษ์ ยังขอโทษสื่อมวลชนที่ตอนแรกปฏิเสธว่าไม่ใช่บุคคลที่จะเข้ามาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พร้อมบอกว่า 3 ปีก่อนตอนเกิดเรื่องภาพที่เผยแพร่ในหน้าสื่อจะเห็นว่าตัวเองมีลักษณะคล้ายไฝอยู่ที่บริเวณคางนั้น จริงๆ แล้วเป็นบาดแผลที่เกิดจากการโกนหนวดและเป็นเลือดคั่งลักษณะเป็นสีดำคล้ายไฝ ซึ่งวันนี้ไม่มีจึงอาจจะทำให้สื่อมวลชนสับสน.