เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวในแวดวงธุรกิจเทคของประเทศไทย  คือ “แกร็บ” ยักษ์ใหญ่ “ซูเปอร์แอป” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ ประกาศแต่งตั้ง  “จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม”  ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 68 แทน “วรฉัตร ลักขณาโรจน์” ที่ลาออกไป นั่งตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร ของ 2C2P

วันนี้ คอลัมน์ “ชีวิตติด TECH” พาไปฟังวิสัยทัศน์ ของ ผู้บริหารหญิง คนใหม่ของ แกร็บ ประเทศไทย ถึงทิศทางบริหารงานที่จะเป็นผ็นำทัพนำพา แกร็บ ประเทศไทย รักษาความเป็นผู้นำธุรกิจแอปเรียกรถและแอปสั่งอาหารอันดับ โดยเฉพาะการวางแผนกลยุทธ์ การกำหนดทิศทางขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาต่อยอด 4 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจการเดินทาง (Mobility) กลุ่มธุรกิจเดลิเวอรี  (Deliveries) กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financial Services) และกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร (Enterprise Solutions) 

“จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม”   บอกว่า ได้เข้ามาทำงานในแกร็บประเทศไทย ตั้งแต่  ปี 61 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ แกร็บ ประเทศไทย โดยดูแลรับผิดชอบงานในด้านการตลาดและการสื่อสารแบรนด์เชิงกลยุทธ์ จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 8 ปีแล้ว โดยยอมรับว่าทำงานที่แกร็บ มีความท้าท้าย แตกต่างจากงานเดิมที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค

โดยแผนการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 68 จะอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” ผ่าน 5 กลยุทธ์ “S.M.A.R.T” คือ  Sustainability มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม  Market Expansion  ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ  Affordability  นำเสนอทางเลือกของบริการในราคาที่เข้าถึงได้  Retention รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า  และ Tech & Innovation พัฒนาเทคโนโลยีและบริการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกคน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและแก้ปัญหา  หรือ pain point ในชีวิตประจำวันของคนในอีโคซิสเต็ม โดยปัจจุบันแกร็บ ถือเป็นผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้บริการทั้งด้านเดลิเวอรี บริการการเดินทางและบริการทางการเงินดิจิทัล ครอบคลุมกว่า 700 เมืองใน 8 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม”

“จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม”   บอกว่า  บริการที่สร้างรายได้หลักให้กับแกร็บในไทย คือ เดลิเวอรรี่ และ เรียกรถ ขณะที่ ธุรกิจการเงิน และธุรกิจลูกค้าองค์กรก็มีแนวโน้มเติบโตดี  โดยมียอดผู้ใช้งาน 44 ล้านรายต่อเดือน ยอดใช้จ่ายต่อหัวต่อครั้งประมาณ 200 กว่าบาท ส่วนในธุรกิจการเงินก็มีหนี้เสียน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เนื่องจากมีการนำบิ๊ก ดาต้า และเอไอ มาช่วยพิจารณาความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ  ซึ่งข้อมูลวิจัยจากโมเมนตัมเวิร์กระบุว่า ภาพรวมตลาดฟู้ดดิลิเวอรีไทยมีมูลค่าราว 1.4 แสนล้านบาท เติบโต 12% และแกร็บครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 46%

“ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามาให้บริการในไทย  แกร็บได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่ากิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของแกร็บ ในปี 66 ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี”

“จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม” ได้ขยายความในกลยุทธ์ “S.M.A.R.T” ว่า ในส่วน ของ  S: Sustainability ยังคงให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญอย่าง “โครงการ Grab EV”  โดยปัจจุบันมียอดการใช้รถ EV แล้วกว่า หนึ่งหมื่นคัน ควบคู่ไปกับ “โครงการชดเชยคาร์บอน” ที่ให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินผ่านฟีเจอร์ Carbon Offset เพื่อนำไปซื้อคาร์บอนเครดิตและทำกิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว

นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มทดลองกิจกรรมใหม่ๆ อย่าง “โครงการ Grab Go Green อิ่มคุ้มช่วยโลกกับ GrabFood” ที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการสั่งอาหารในราคาพิเศษในช่วงก่อนปิดร้านเพื่อช่วยลดขยะอาหารจากร้านค้า เป็นต้น  ในด้านสังคม ได้ส่งเสริมการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่าน “โครงการ GrabSpark” ที่เปิดเวทีให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้แสดงศักยภาพผ่านการประกวดแผนธุรกิจ พร้อมโอกาสในการฝึกงานกับแกร็บ รวมถึง “โครงการ GrabScholar” กับการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาที่มีศักยภาพ ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้

ขณะที่  M: Market Expansion ในปีนี้ แกร็บเดินหน้าขยายบริการเพื่อให้ครอบคลุมคนทุกเจเนอเรชัน  และได้ผลักดันการใช้ฟีเจอร์บัญชีครอบครัว (Family Account) เพื่อขยายการให้บริการไปยังกลุ่ม Baby Boomer และ Gen Alpha ผ่านผู้ใช้บริการหลัก (Core User) ที่ต้องการเรียกรถให้กับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนอาวุโส (พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่) และกลุ่มเด็กเล็ก (ลูก-หลาน) สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปีนี้แกร็บยังคงเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะนโยบาย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ของรัฐบาล ผ่านการสนับสนุนและเข้าร่วม อีเวนท์สำคัญระดับประเทศและเทศกาลเชิงวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งปี

ส่วน A: Affordability เตรียมต่อยอดความคุ้มค่าสำหรับบริการเรียกรถด้วยการขยายบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมที่ทดลองให้บริการเฉพาะหัวเมืองหลัก สำหรับบริการฟู้ดเดลิเวอรี ชูไฮไลท์ซับแบรนด์ “Hot Deals” ดีลลดแรงจากร้านดังทั่วประเทศ เพิ่มจำนวนร้านที่เข้าร่วมโปรแกรม ควบคู่ไปกับการนำเสนอโปรโมชันตามช่วงเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ  ที่มีส่วนลดสูงสุดถึง 80% พร้อมส่งฟรี

 และ R: Retention รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า  ผ่าน GrabUnlimited มอบสิทธิประโยชน์และส่วนลดที่คุ้มค่า ครอบคลุมทุกบริการ ด้วยแพ็คเกจสมาชิกรายเดือน หรือรายปี และ พัฒนา GrabVIP หรือโปรแกรมสิทธิพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการที่มียอดใช้จ่ายสูงกว่า 30,000 บาทในระยะเวลา 3 เดือน ส่วนคนขับ ให้สิทธิประโยชน์สำหรับคนขับที่ให้บริการดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ ฟรีประกันรถจักรยานยนต์ การลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับบริการสินเชื่อเงินสด สำหรับคนขับ ฟรีประกันสุขภาพ เป็นต้น ขณะที่กลุ่มพาร์ทเนอร์ร้านค้า พัฒนาบริการสินเชื่อเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและให้ประกันความคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจ

สุดท้าย T: Tech & Innovation  เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นปี อาทิ บริการจองรถล่วงหน้าเพื่อให้มารับที่สนามบิน บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียม ที่เจาะกลุ่มนักธุรกิจและลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว  และบริการสำหรับจองร้านอาหารเพื่อรับประทานที่ร้าน และล่าสุดกับการพัฒนา QR Payment เพื่อเพิ่มทางเลือกการชำระเงินให้กับผู้ใช้บริการ และช่วยแก้ปัญหาให้กับคนขับที่อาจมีเงินสดสำรองไม่เพียงพอ

สุดท้ายผู้บริการแกร็บ ประเทศไทย ยืนยันว่า  พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและยกระดับคุณภาพชีวิตของไทยต่อไป.

Cyber Daily