ดูเหมือนแนวคิด “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและการกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่จะเดินสายทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้านและ กลุ่มที่ต่อต้าน ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ซึ่งถูกเรียกว่า “พ.ร.บ.กาสิโน” จะไม่มีกระแสตอบรับจากพรรคฝ่ายค้าน และบรรดาม็อบที่ต่อต้าน โดยอ้างว่ามีการข้ามขั้นตอนที่ต้องศึกษาด้านเศรษฐกิจ ยังไม่นับว่ามีการเปิดช่องให้มีการทุจริต

“นายรังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการที่รัฐบาล เดินสายช่วงปิดสมัยประชุมสภา ทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ว่า ในเชิงเนื้อหา รัฐบาลทำ พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีหัวใจเป็นกาสิโน อย่างรวดเร็วมากๆ โดยไม่ได้สนใจว่าจะมี กระบวนการจัดการผลกระทบอย่างไร ความชัดเจนเรื่อง การป้องกันการฟอกเงิน ก็มีน้อยมาก มีการข้ามขั้นตอนที่ต้อง ศึกษาด้านเศรษฐกิจ ยังไม่นับว่ายังมีการเปิดช่อง ให้มีการทุจริต โดยที่ไม่มีกลไกการรับมืออีก

“รัฐบาลต้องลงเสาเข็มก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะสร้างมัน โดยที่ไม่สนใจว่าฐานรากของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ดังนั้น ผมคิดว่า ความเร่งรีบของรัฐบาล มันส่อพิรุธบางอย่าง” นายรังสิมันต์ กล่าว
ด้าน “นายจตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรค พท. จะเดินสายชี้แจงทำความเข้าใจกับ พรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆ เรื่องร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ถือว่าเป็นความพยายาม โดยปราศจากความสำนึก ที่จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง เพราะสิ่งที่กำลังจะทำนั้น เป็นสิ่งที่เลวร้าย ดังนั้นยิ่งไปทำความเข้าใจมากเท่าไร ก็จะเจอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นคำว่าผลประโยชน์อื่นใดและประเทศชาติเสียหายอย่างไร ดังนั้นถ้าพรรค พท.ไม่หยุดก็ต้องเจอกับประชาชน เพราะเปิดสมัยประชุมสภาก็ นัดหมายกันได้เลย 3 ก.ค.นี้ ก็เอาเข้ากันในวันนั้นเสียเลย เพราะยังเป็นวาระแรกของการประชุมสภาอยู่

“ถ้าพรรค พท.มีความมั่นใจก็จัดเวทีสาธารณะ ให้ตัวแทน แต่ละฝ่ายขึ้นไปดีเบตก็ได้ แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า ณ ขณะนี้ในเวทีต่างๆ ก็ไม่เห็นว่าจะไปหักล้างข้อกล่าวหาได้เลย มิหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมที่เร่งรีบลุกลี้ลุกลน ท้ายที่สุดก็มีปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง และเห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าไม่เลื่อนวาระการประชุมสภา ในวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมาก็จะเจอภาคประชาชนของจริง ที่มาเร็วกว่าเรื่องสุดซอย” นายจตุพร กล่าว
เมื่อไม่มีกระแสตอบรับเรื่องเดินสายทำความเข้าใจ กับร่างพ.ร.บ.กาสิโน ต้องรอดู “พรรค พท.” จะมีการปรับแผนอย่างไร เพื่อผลักดันให้ร่างดังกล่าว ไม่ถูกแรงต้าน ทั้งในและนอกสภา และจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของ พรรคแกนนำรัฐบาล หรือไม่ หากไม่สามารถผลักดันนโยบายที่เป็นเรือธงได้

ด้าน “นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์” ที่ปรึกษานายกฯ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านหลายกลุ่มจงใจบิดเบือน พูดความจริงไม่หมด และใส่ร้ายรัฐบาล กล่าวหา โจมตีด้วยความเท็จ ว่าโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นโครงการบ่อนกาสิโน โดย ไม่สนใจในข้อเท็จจริง โจมตีด้วยความคิดที่เป็นอคติและอิจฉา รวมทั้งกลัวว่าพรรค พท.จะได้รับความนิยมหากสามารถดึง เงินลงทุนหลักแสนล้าน จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กาสิโนมีเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 จากทั้งโครงการ ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ 4 พื้นที่ แต่ละพื้นที่มีการลงทุน ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท ดึงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลสูงถึง 800,000 ล้านบาท จ้างงานไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 คน ในแต่ละแห่ง
“หากเอาความจริงมาพูดกันโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีมาตั้งแต่สมัย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว รวมไปถึงใน นโยบายพรรค ปชน. หรืออดีตพรรคก้าวไกล (ก.ก.) หากพรรค ปชน.ในอดีตมีโอกาสเป็นรัฐบาล ก็เตรียมบรรจุโครงการกาสิโนถูกกฎหมาย แต่มาวันนี้ สส.พรรค ปชน. รุมโจมตีรัฐบาล ด้วยนโยบายนี้ การบิดเบือนใส่ร้ายของคนบางกลุ่ม จนทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ และ สร้างความเสียหายมากมาย ให้ประเทศ”นายสงคราม กล่าว
ถือเป็นการโยนปมร้อนกลับไปให้ พรรคแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ที่เคยออกมาสนับสนุนแนวทางนี้ไว้ แต่ตัวแทนพรรค ปชน. อาจชี้แจงได้ว่า รูปแบบในการทำกาสิโน อาจแตกต่างกันได้ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ จากภาคประชาชน พรรค ปชน.จะปรับเปลี่ยนท่าที เพราะหวังในคะแนนนิยม
ส่วนผลพวงต่อเนื่อง จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ยังไม่จบง่ายๆ

หลัง “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” รองหัวหน้าพรรค ปชน. ซึ่งเป็นหนึ่งใน สส.ที่ลุกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจหัวหน้ารัฐบาล ได้ออกมากล่าวถึงความคืบหน้า มาตรการโรยเกลือรัฐบาล ต่อเนื่องจากเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า หลังจากสงกรานต์ ช่วงวันที่ 21 เม.ย. นี้ จะมีการแถลงข่าว 3 ประเด็นหลัก คือ 1.พฤติกรรมของนายกฯ ที่เข้าข่ายทำนิติกรรมอำพราง โดยใช้ตั๋วพีเอ็นในการหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ ต้องให้อธิบดีกรมสรรพากร ส่งเรื่องสอบถาม หรือหารือไปยัง คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เพื่อให้กรณีมีบทสรุปที่ชัดเจนอย่างสิ้นข้อสงสัย ต้องถาม นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ว่า จะยอมรับกรณีแบบนี้เป็นมาตรฐานจริงหรือเปล่า 2.เรื่องโฉนดโรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ซึ่งเรายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ต้นน้ำลำธาร ไม่ว่ากฎหมายฉบับไหนก็ไม่สามารถออกเป็นโฉนดได้ ต้องเดินหน้าเพิกถอนโฉนด

“3.กรณีของนักโทษชั้น 14 ก็เข้าข่ายว่า นายกฯ รู้ทั้งรู้ แต่ว่าก็จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป แต่ยืนยันเราจะไม่ใช้ช่องทางจริยธรรมจัดการกับนายกฯ แน่ ๆ เรายังคงเรียกร้องให้นายกฯ มีสำนึกในตัวเอง และจริยธรรมตัวเองต้องตัดสิน รับผิดชอบ ไม่ต้องให้ใครชี้นิ้ว และไม่ต้องให้มรดกบาปคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เอามีดมาฟัน เราไม่สามารถเอาน้ำเสีย ไล่น้ำเสียได้” นายวิโรจน์ กล่าว

นั่นหมายความว่า แม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะจบลงไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องราวให้ติดตาม และตรวจสอบต่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีคนไปยื่นเรื่องให้ องค์กรอิสระตรวจสอบแล้ว เช่น กรณีของ นักโทษชั้น 14 รพ.ตำรวจ จากต้องรอบทสรุปของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องนายกฯ ถือครองตั๋วพีเอ็น หรือ การได้มาของโฉนด โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ มีความผิดปกติหรือไม่
ขณะที่ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภา ออกมาให้ความเห็นถึง เสถียรภาพของรัฐบาล จากกรณีเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งมีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคไม่เห็นด้วยว่า รัฐบาลมีเสียงกว่า 300 เสียง เพียงพอต่อการลงมติ แต่ก็จะต้อง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่า มีเรื่องใดที่มีความขัดแย้ง ทุกพรรคการเมือง และ สส.ก็ต้องฟังเสียงประชาชน รวมถึงไม่สามารถบอกได้ว่า มั่นคงตลอดไป เพราะถือเป็นเรื่องการเมืองต้อง มีทั้งบนดิน ใต้ดิน และบนฟ้า ซึ่งก็จะมั่นคงได้ในระดับหนึ่ง แต่จะบอกว่า ตลอดไปไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีปัญหาลักษณะนี้มาโดยตลอด และเป็นเรื่องปกติ แต่การตัดสินใจสุดท้าย จะอยู่ที่ประชาชนที่จะ ตัดสินในการเลือกตั้ง ต่อไป

เมื่อถามกรณีที่มีการประเมิน ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร อาจซ้ำรอย ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้น ประธานสภา กล่าวว่า ปัจจุบันในระเบียบวาระการประชุมสภา ก็มีร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รอการพิจารณาอยู่ ซึ่งมีหลายฉบับ ทั้งจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) สส. และ พรรคการเมือง 3-4 ฉบับ หากทุกฝ่ายพูดคุยกันได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และเชื่อว่าไม่น่าจะมีความขัดแย้ง เพราะทุกคนมุ่งหมายสร้างความปรองดองในประเทศ แต่จะ นิรโทษกรรมในระดับใด และกับใครบ้าง ยังจะต้องพูดคุยกัน และขอปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เนื่องจากประธานสภา ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถชี้แนะไปในทางใดทางหนึ่งได้
ถือเป็นการให้ความเห็นของ นักการเมืองอาวุโส ที่ผ่านสนามการเมืองมาอย่างโชกโชน ที่ชี้ว่าไม่สามารถบอกได้ว่ารัฐบาลจะมั่นคงตลอดไป เพราะการเมืองต้องมีทั้งบนดิน ใต้ดิน และบนฟ้า ซึ่งก็จะมั่นคงได้ในระดับหนึ่ง แต่จะบอกว่า ตลอดไปไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญอยู่ที่ เอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล จะมีเงื่อนไขอะไร ที่ทำให้มี ปัญหาความขัดแย้ง เกิดขึ้นหรือไม่ ต้องรอดูสถานการณ์ในช่วงนับจากนี้ต่อไป.
ทีมข่าวการเมือง