จากข่าวใหญ่ของการสะบั้นรักระหว่าง “เนสท์เล่” เจ้าของ “เนสกาแฟ” กับตระกูล “มหากิจศิริ” ร่วมกันก่อตั้งบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เพื่อผลิตกาแฟและจำหน่ายในประเทศไทย จนเกิดข้อพิพาทฟ้องร้องกัน

ล่าสุด บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริง กรณีข้อพิพาททางกฎหมายกับบริษัทเนสท์เล่ หลังศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่  ผลิต ขาย และนำเข้าเนสกาแฟ มาจำหน่ายในไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 แต่เนสท์เล่ กลับไปฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เพื่อขอดำเนินธุรกิจต่อ

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่า “บริษัท QCP เป็นการร่วมทุนระหว่างครอบครัวมหากิจศิริ กับเนสท์เล่  ในสัดส่วน 50:50 ซึ่งแม้สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตจะเป็นของเนสท์เล่ทั้งหมด แต่เป็นเงินที่บริษัท QCP จ่ายให้เนสท์เล่ หลายหมื่นล้านบาทในระยะเวลาที่ผ่านมา จากนั้นเมื่อบริษัท QCP หมดอายุสัญญากับเนสท์เล่ ทางเนสท์เล่ก็ไม่ได้ต่อสัญญา จนเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ศาลอนุญาโตตุลาการสากล ก็ตัดสินว่า เนสท์เล่เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) กับคุณประยุทธ มหากิจศิริ เพียงคนเดียว” 

ทั้งนี้เนสท์เล่ ได้เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) กับคุณประยุทธ มหากิจศิริ เพียงคนเดียว (ซึ่งไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายไทย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณประยุทธ มหากิจศิริ ถือหุ้นเพียง 3% เท่านั้น โดยไม่มีผลผูกพัน แต่คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งถือหุ้นใหญ่สุด 47% และยังไม่ผูกพันบริษัท QCP ด้วย 100% 

ฉะนั้น…สิ่งที่เนสท์เล่ พาดพิงจากข้อพิพาทกับคุณประยุทธ ในเรื่องเลิกสัญญานี้ จึงเป็นการบิดเบือน

และเพื่อความถูกต้อง คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และครอบครัว จึงฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมีนบุรี ขอความเป็นธรรม โดยมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่ ซึ่งยังถือหุ้นร่วมกันอยู่ 50:50 เท่ากัน “ไม่ให้ผลิต ห้ามขาย ห้ามนำเข้าสินค้า เนสกาแฟมาจำหน่ายในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เนสท์เล่ ไม่สามารถนำเข้าสินค้าเนสกาแฟจากต่างประเทศมาแย่งอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยได้

ในแถลงการณ์ตอนหนึ่ง ยังระบุว่า  เนสท์เล่ไม่เคารพคำสั่งศาลไทย ไปฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 และมีการบิดเบือนเพื่อให้สังคมเข้าใจผิดอีกว่า ให้เนสท์เล่กลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ (ซึ่งศาลท่านไม่ได้มีคำสั่งเช่นนั้น)

นอกจากนี้แถลงการณ์ยังชี้ว่า ความเป็นจริง เมื่อเนสท์เล่และมหากิจศิริ มีความเห็นต่างกันในเชิงธุรกิจ ก็สามารถหย่าขาดจากกันได้ แยกทางกันได้ แต่จะทำร้ายลูกไม่ได้ โดยขณะนี้ QCP มีทรัพย์สินอยู่ร่วมหมื่นกว่าล้านบาท และมีเงินสดอยู่ 5,000 ล้านบาท  ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว ควรให้บริษัท QCP ผลิตเนสกาแฟต่อ หรือผลิตกาแฟยี่ห้อ QCP เองก็ได้ เพื่อสนองความต้องการของตลาดในราคาที่ถูกลงได้.