เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังการประชุมแนวทางแก้ไขปัญหาหมอลาออกและขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในทุกวิชาชีพ ว่า การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่ดีที่สุด ซึ่งที่ประชุมได้พูดคุยกันคือการผลักดัน พ.ร.บ.กระทรวงสาธารณสุข (กสธ.) ซึ่งจะทำให้การบรรจุเป็นข้าราชการ การแต่งตั้ง เงินเดือน และสวัสดิการของบุคลากรทั้งหมด สามารถทำได้โดยกระทรวงสาธารณสุข  อย่างไรก็ตาม การผลักดันกฎหมายนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ดังนั้นการแก้ปัญหาในระยะนี้ซึ่งสืบเนื่องจากปัญหาเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนและผู้บริหารกระทรวงก็ได้มีการปรึกษาหารือกันมาตลอด

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า มีแนวทางการแก้ไขปัญหา 7 ขั้นตอนคือ 1. กำหนดพื้นที่พิเศษเพิ่มสิทธิประโยชน์ ลดระยะเวลาการใช้ทุนในการไปศึกษาต่อ จากเดิมที่ต้องใช้ทุน 3 ปีก็จะเหลือ 2 ปี หลังจากนั้นก็สามารถไปศึกษาต่อได้โดยไม่จำเป็นต้องลา โดยเตรียมประกาศให้จังหวัดบึงกาฬ  แม่ฮ่องสอน และอาจจะเพิ่มพื้นที่จังหวัดตาก เป็นพื้นที่พิเศษ 2. เพิ่มแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ทั้งแบบฝึกเองและแบบร่วมฝึกเพื่อให้มีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไม่เกินจำนวน ตามที่มีการคำนวณอยู่ตลอดเวลา 3. ขอรับการสนับสนุนแพทย์เฉพาะทางจากจังหวัดใกล้เคียง 4. เสริมระบบบริการด้วยดิจิทัลและเทเลเมดิซีน โดยขอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนให้มีเทเลเมดิซีนเพิ่มขึ้นและรวดเร็ว 5. กำหนดตำแหน่งราชการรองรับแพทย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน และมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีการรับรองปริญญาบัตรที่ทัดเทียมกับประเทศไทย ทั้งนี้ ในกรณีปกติที่ไม่เพียงพอ 6. พิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลาราชการ อัตราเท่าครึ่งหรือ 2 เท่า หรือมากกว่านี้ ตามเหตุตามผลที่สามารถดำเนินการได้ และ 7. ส่งเสริมสวัสดิการ เช่น บ้านพัก การเดินทางและรับ-ส่งอย่างเหมาะสม

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการลดภาระงานแพทย์นั้น ตนตั้งเป้าลดให้ได้ 30% แต่ขอเวลา 2 ปี ให้ผลโครงการลดป่วยเอ็นซีดี จากการรณรงค์นับคาร์บสำเร็จก็จะเห็นผลคนไป รพ.ลดลง ลดการแออัด รวมถึงการเพิ่มเทเลเมดิซีนก็จะลดแออัดได้ อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้นับชั่วโมงการทำงานแพทย์ เพราะถ้านับแค่นั้น ตนเห็นว่าทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอลงไปดูแล้วพบว่า แพทย์มีการแลกเวร สลับเวรกันทำงาน และเมื่ออยู่นานก็มีห้องพักให้อยู่แล้ว ที่ตนพูดเพราะลงพื้นที่ไปดูแล้วไม่ได้นั่งเทียนพูด  

เมื่อถามถึงค่าตอบแทนพิเศษในพื้นที่พิเศษนี้จะใช้งบประมาณจากเงินบำรุงโรงพยาบาลหรือของบประมาณเพิ่มเติม นพ.ภูวเดช สุระโชติ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ส่วนหนึ่งจะใช้จากงบประมาณ ถ้าเป็นเบี้ยเลี้ยงจะมีงบประมาณจัดสรรให้บางส่วนและจะพิจารณาว่า ถ้าเป็นพื้นที่พิเศษจะให้สัดส่วนมากกว่าพื้นที่ปกติทั่วไป ส่วนที่ 2 จะเติมจากเงินบำรุงโรงพยาบาล ซึ่งในส่วนการบริหารจัดการในภาพรวมของจังหวัด เป็นลักษณะเป็นเงินกองกลางและเติมให้กับส่วนที่ขาดหรือไม่เพียงพอ นำไปใช้ในการบริหารจัดการภายในจังหวัด และระดับเขต ที่จะเติมเต็มให้แบบข้ามจังหวัดได้ ส่วนกระทรวงก็จะพยายามหาเงินสนับสนุนให้กับส่วนที่ขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อไป  

เมื่อถามต่อถึงการเพิ่ม OT ให้กับทุกพื้นที่หรือไม่ และจะหางบประมาณจากไหน นพ.ภูวเดช กล่าวว่า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬมีการนำเสนอวิชาชีพแพทย์เพียงวิชาเดียว ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน แต่คณะทำงานที่จะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ก็จะไปดูจังหวัดรอบข้างด้วย หากจังหวัดบึงกาฬรายรับรวมแต่ละเดือนยังได้น้อยกว่าจังหวัดรอบข้าง เราก็จะพิจารณาปรับค่าตอบแทนค่านอกเวลาซึ่งตามระเบียบสามารถปรับได้สูงสุดถึง 3 เท่าในกลุ่มแพทย์ที่มีภาระงานสูง เช่น แพทย์ห้องฉุกเฉิน และแพทย์ ICU ได้รับในอัตรา 3 เท่า ดังนั้นแพทย์ที่อยู่ในพื้นที่ขาดแคลนและมีชั่วโมงการปฏิบัติงานสูงก็จะมีชดเชย เพิ่มค่าโอที ซึ่งงบที่จะนำไปจัดสรร ตนอธิบายไปข้างต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายรับที่โรงพยาบาลพึงได้นั้น หากกองทุนเราเต็มเม็ดเต็มหน่วยคิดว่าภาระตรงนี้เราสามารถจัดการได้

เมื่อถามว่าแนวทางแก้ปัญหา 7 ข้อนั้นจะใช้ในพื้นที่พิเศษเท่านั้นหรือ สามารถใช้ในภาพรวมของแพทย์ทุกพื้นที่ที่มีภาระงานเยอะนพ.ภูวเดช กล่าวว่า นี่เป็นแนวทางตั้งต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีเกณฑ์ว่าเป็นพื้นที่ขาดแคลนจริง เพราะหากไปทำในพื้นที่อื่นๆ ให้เพิ่มขึ้นด้วยก็จะเกิดปัญหาการไหลของแพทย์ไปสู่พื้นที่นั้นอีก ดังนั้นจึงต้องมีกรอบที่กำหนดไว้ ซึ่งที่ผ่านมา เรื่องการพิจารณาถ้ามากกว่า 1 เท่าไม่เกิน 2 เท่าก็จะมีคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีนายแพทย์สาธารณสุขเป็นประธาน ถ้ามากกว่า 2 เท่าแต่ไม่เกิน 3 เท่าจะเป็นคณะกรรมการระดับเขต ส่วนทั้ง 8 โรงพยาบาลในบึงกาฬ หากจำเป็นต้องเพิ่มก็ต้องผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่กล่าวมานี้พิจารณาความเหมาะสม