ที่ รร.รามาการ์เด้นส์ วันที่ 21 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ได้นัดผู้สื่อข่าวแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัท ที่ รร.รามาการ์เด้นส์ หลังจากที่ผ่านมาได้เลื่อนการแถลงข่าวจากวันที่ 9 เม.ย. ออกไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากระบุว่า ขอรับฟังกระทรวงอุตสาหกรรมแถลงข่าววันที่ 10 เม.ย. ก่อน ซึ่งการแถลงข่าวครั้งนี้ ทางบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ได้จ้างทีมทนายจากสำนักงานกฎหมายเจ้าพระยาทนายความ นำโดย นายปิยะพงศ์ คงมะลวน, นายสุรศักดิ์ วีระกุล และนายปัทมากร ภิญโญชัยพลกุล เป็นตัวแทนบริษัท ออกมาชี้แจงสื่อเป็นครั้งแรก หลังจากบริษัทตกเป็นจำเลยสังคม ภายหลังที่มีการเก็บตัวอย่างเหล็กเส้นจากตึก สตง. ถล่มไปตรวจสอบพบว่า เหล็กที่มาจากซิน เคอ หยวนฯ เป็นบริษัทเดียวที่ตกมาตรฐาน จากการตรวจสอบเหล็กของ 3 บริษัท

นายสุรศักดิ์ วีระกุล หนึ่งในทีมทนาย ได้ชี้แจงเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม และเริ่มมีการพูดถึงเหล็กเส้นของบริษัทซิน เคอ หยวนฯ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทฯ อย่างมาก เนื่องจากข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะได้ชี้นำว่าเหล็กของบริษัทฯ ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้บริษัทฯ ตกเป็นจำเลยของสังคม ทางบริษัทฯ เลือกที่จะยังไม่โต้ตอบในทันที เพราะเกรงว่าจะไม่เป็นประโยชน์และอาจถูกมองว่าเป็นการแก้ตัว แต่เชื่อมั่นว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏในที่สุด
บริษัทฯ เห็นว่า สาเหตุหลักของการที่ตึก สตง. ถล่มน่าจะมาจากปัจจัยอื่น เช่น แบบการก่อสร้าง หรือการควบคุมงานของวิศวกร มากกว่าจะเป็นคุณภาพของเหล็กเส้นซึ่งเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนน้อย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการและวิศวกรโครงสร้างหลายท่านที่เริ่มออกมาให้ข้อมูลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการชี้แจงข้อเท็จจริงด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกต การแถลงข่าวครั้งนี้ ทางทีมทนายพยายามชี้แจงถึงกรณีโรงงานผลิตเหล็ก ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ถูกสั่งปิดเมื่อปลายเดือน ธ.ค. 67 จากเหตุการณ์แก๊สระเบิด และมีกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าตอบคำถามเกี่ยวกับเหล็กเส้นของบริษัทฯ ถูกพบในโครงสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่พังถล่มลงมา และนำตัวอย่างชิ้นส่วนเหล็กในพื้นที่ มาตรวจสอบพบว่า เหล็กของซิน เคอ หยวนตกมาตรฐาน ซึ่งทางทีมกฎหมายยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเหล็กเส้นที่ใช้ก่อสร้างอาคาร สตง. ซึ่งถูกนำไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 31 มี.ค.
จึงเกิดการถกเถียงระหว่างสื่อมวลชนกับผู้แถลง เนื่องจากประชาชนต้องการทราบคุณภาพเหล็กเส้นที่ถูกนำไปใช้สร้าง สตง. มากกว่าการเปิดที่มาการถูกปิดโรงงานเมื่อปลายปี 67 ทำให้ทีมกฎหมายที่แถลงข่าวชี้แจงกลับสื่อมวลชนว่าการทำหน้าที่วันนี้ถูกว่าจ้างให้มาชี้แจงเฉพาะเรื่องการถูกสั่งปิดโรงงานเท่านั้น จึงไม่ทราบเรื่องรายละเอียดการตรวจสอบของวันที่ 31 มี.ค. 68 จะตอบเพียงกว้างๆ ไม่สามารถก้าวล่วง ตอบรายละเอียดที่ชัดเจนเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ทีมกฎหมายให้ความเห็นกรณีการเก็บตัวอย่างเหล็กเมื่อ 31 มี.ค. 68 ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทฯ เพราะการนำเหล็กที่ผ่านการใช้งานและอยู่ในซากอาคารที่ถล่มไปทดสอบมาตรฐาน ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพ ณ เวลาผลิตได้ เพราะเหล็กได้ผ่านแรงกดทับและความเสียหายแล้ว การนำผลทดสอบดังกล่าวมาชี้นำสังคมถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันว่า การขายเหล็ก บริษัทฯ จะขายผ่านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ไม่เคยขายตรงให้กับโครงการภาครัฐหรือเอกชน และไม่เคยได้รับการร้องเรียนหรือคืนสินค้าเนื่องจากปัญหาคุณภาพ
ส่วนกรณีโรงงานผลิตเหล็ก ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ถูกสั่งปิดเมื่อปลายเดือน ธ.ค. 67 จากเหตุการณ์แก๊สระเบิด และมีกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีการตรวจสอบเหล็กเส้นไม่ได้มาตรฐานนั้น ประเด็นเรื่องคุณภาพเหล็กที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นำไปทดสอบ 2 ครั้ง ครั้งแรก ธ.ค. 67 ทาง สมอ.ขอเก็บตัวอย่างไปตรวจมีหลายขนาด และพบว่าเหล็กขนาด 25 มม. และ 32 มม. มีค่าโบรอนไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (ต้องน้อยกว่า 0.0008%) และความสูงของบั้งต่ำเกินไปมีผลต่อการยึดเกาะของคอนกรีต ต่อมาครั้งที่ 2 ทางบริษัทฯ ยื่นอุทธรณ์ขอตรวจเหล็กเส้นข้ออ้อยจากตัวอย่างเดิมเป็นครั้งที่สอง ซึ่งผลยังไม่ผ่านมาตรฐานเช่นเดิม
ทางผู้แทนฯ ชี้แจงว่า การทดสอบดังกล่าวทำที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ซึ่งเครื่องมือวัดค่าโบรอนไม่มีขีดความสามารถในการวัดตามเกณฑ์ที่ มอก. กำหนด ทางบริษัทฯ ขอให้มีการตรวจพิสูจน์ซ้ำเป็นครั้งที่สามที่สถาบันยานยนต์ ซึ่งมีเครื่องมือที่สามารถวัดค่าได้ตามเกณฑ์ แต่ทาง สมอ. ยืนยันว่าจะไม่มีการตรวจครั้งที่ 3 และผู้แทนฯ ยังตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการของ สมอ. ที่นำเหล็กตัวอย่างท่อนแรกไปตรวจซ้ำ แทนที่จะใช้เหล็กท่อนอ้างอิงตามหลักปฏิบัติทั่วไป ซึ่งปกติจะมีการตัดเหล็ก 3 ท่อน โดย สมอ. เก็บ 1 ท่อน โรงงานเก็บ 1 ท่อน และส่งตรวจ 1 ท่อน
ด้านปมถูกกล่าวหาบริษัทฯ เป็นธุรกิจจีนเทานั้น บริษัทฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง ยืนยันว่าดำเนินธุรกิจอย่างสุจริต โปร่งใส ปฏิบัติตามกฎหมายไทยมาตลอด มีการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลย้อนหลัง 5 ปี เป็นเงินกว่า 800 ล้านบาท และใช้บริการสำนักงานบัญชีที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล และบริษัทฯ ได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาโดยตลอด
ขณะที่ประเด็นข้อกล่าวหาการวิ่งเต้น บริษัทฯ ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการใช้เงิน 300 ล้านบาท เพื่อวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบมาตรฐาน และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการสืบสวนหาผู้กระทำผิดที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว และประเด็นใบกำกับภาษีปลอม จำนวน 7,000 ใบ บริษัทฯ ยอมรับว่ามีกรณีพิพาทกับกรมสรรพากรในเรื่องดังกล่าวจริง และได้มีการยื่นฟ้องต่อศาล โดยปัจจุบันคดีความยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของชั้นศาล
ส่วนที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิกถอนสิทธิบีโอไอชั่วคราว ทางบริษัทฯ เตรียมยื่นอุทธรณ์ขอความเป็นธรรม เนื่องจากบริษัทฯ ขาดสิทธิประโยชน์ อีกทั้งไม่สามารถตอบแทนผู้บริหารบริษัทฯ ว่าจะลงทุนต่อในประเทศไทยหรือไม่