เมื่อเวลา 22.36 น. วันที่ 21 เม.ย.68 น.ส.เอ (นามสมมติ) และ มิสเตอร์ เจ (นามสมมติ) อายุ 41 ปี เพื่อนชาวไต้หวัน ได้เปิดเผยเรื่องราวสุดสะเทือนขวัญ หลังถูกชายเร่ร่อนทำร้ายร่างกายโดยไม่มีสาเหตุ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านพัทยาใต้ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมทั้งนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาเปิดเผยเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนภัย

น.ส.เอ (นามสมมติ) ให้ข้อมูลว่า ขณะที่ มิสเตอร์ เจ (นามสมมติ) กำลังนั่งรอไรเดอร์มาส่งของที่หน้าร้านอาหาร ซึ่งด้านบนเป็นห้องพัก และกำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่นั้น ได้มีชายลักษณะคล้ายคนเร่ร่อน เดินถือไม้ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ตรงเข้ามาฟาดอย่างแรงเข้าที่ใบหน้าของ มิสเตอร์ เจ บริเวณกกหู จนได้รับบาดเจ็บ แล้วเดินหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังเกิดเหตุ มิสเตอร์ เจ (นามสมมติ) ได้โทรศัพท์แจ้ง น.ส.เอ ให้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้ว อย่างไรก็ตาม น.ส.เอ มองว่าคดีดังกล่าวอาจไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จึงได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดมาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อเตือนภัย พร้อมทั้งตั้งรางวัลนำจับ 1,000 บาท สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสคนร้าย โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพชายผู้ก่อเหตุไว้ได้อย่างชัดเจน เป็นชายรูปร่างผอมสูงประมาณ 166-170 ซม. สวมเสื้อแขนยาวสีดำ กางเกงขายาว และถือขวดเบียร์กับไม้

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุน.ส.เอได้โพสต์ข้อความลงในโลกออนไลน์ โดยระบุว่า บุคคลที่ถือไม้เดินเข้ามาเป็นบุคคลอันตราย ทำร้ายร่างกายคนทั่วไปโดยไม่มีสาเหตุ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวาน แฟนของนักท่องเที่ยวลงไปรอรับของจากไลน์แมนที่หน้าตึก ได้ยินเสียงชายถือไม้ทุบอะไรบางอย่างฝั่งตรงข้าม สักพักชายคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาตีที่ศีรษะนักท่องเที่ยวจนหูมีเลือดออกและใบหน้าบวม ก่อนจะรีบเดินหนีไป ตอนนี้นักท่องเที่ยวได้แจ้งความแล้ว หากใครพบเห็นเบาะแสคนในภาพ สามารถแจ้งได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0804804600 พร้อมรับรางวัล 1,000 บาท

ทั้งคู่ยังกล่าวด้วยความกังวลใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวอย่างมาก จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนและอาชญากรรมในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นให้กับเมืองพัทยา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์คนเร่ร่อนทำร้ายนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นหลายครั้งในเมืองพัทยา แม้จะมีการกวาดล้างมาแล้วหลายครั้ง แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน