ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เผยเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ในช่วงนี้ หลังจากเกิดเหตุลอบยิงอดีตอุสตาซ นายอับดุลรอนิง ลาเตะ ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา จากนั้นในช่วงค่ำวันเดียวกัน เกิดเหตุระเบิด สภ.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส ตามด้วยเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงไทยพุทธ ขณะรับประทานอาหารในพื้นที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส และในช่วงเช้าของวันที่ 22 เมษายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายลอบยิงสามเณร ขณะเดินทางด้วยรถยนต์ เพื่อรับบิณฑบาต ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงพยายามสร้างสถานการณ์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิงอุสตาซ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
ทั้งนี้ ขอย้ำว่า เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนมีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน จะไม่เป็นผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย หน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ คือการควบคุมพื้นที่ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ รวมทั้งการติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะเห็นว่า ขบวนการพยายามสร้างความรุนแรง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในอดีต ทั้งกรือเซะ และเหตุการณ์ตากใบ ให้เกิดขึ้นในรอบใหม่

ที่ผ่านมา หลักการสู้ของขบวนการ ใช้เรื่องของหลักการกำหนดใจตัวเอง The Principle of Self – Determination ซึ่งมีเงื่อนไขอยู่ 4 ข้อ เรื่องของอาณานิคม เรื่องของการขัดกันด้วยอาวุธ ที่เลือกก่อเหตุต่อเจ้าหน้าที่ที่มีอาวุธเท่านั้น เรื่องของสิทธิมนุษยชน และเรื่องของอัตลักษณ์ ห้วงที่ผ่านมาในอดีต เหตุเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง แต่ในปัจจุบัน การก่อเหตุมุ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งอุสตาซ ผู้นำศาสนา กลุ่มพี่น้องชาวไทยพุทธ เพื่อต้องการสถานการณ์รุนแรงให้มีรุนแรงมากยิ่งขึ้น สร้างความบิดเบือน สร้างความแตกแยก ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ในการใช้บังคับกฎหมายของทางเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะในการพูดคุยสันติสุข จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ แต่ในทางกลับกันเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อเป็นการกดดันรัฐ จริงๆ แล้วกระบวนการพูดคุยเป็นการร่วมหาทางแนวทางร่วมกันทั้งสองฝ่าย โดยทางขบวนการเอง ต้องไม่เอาพี่น้องประชาชน เป้าหมายอ่อนแอ รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ มาเป็นหลักประกันในการต่อรองในเรื่องของการพูดคุยสันติสุข
สำหรับมาตรการจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้วงนี้ ได้มีการเรียกประชุมหน่วยในพื้นที่ ตั้งแต่ หน่วยเฉพาะกิจจังหวัด และหน่วยเฉพาะกิจในระดับพื้นที่ รับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ ย้ำมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัย ทั้งเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งครู พระ ชุมชนไทยพุทธ ผู้นำศาสนา รวมทั้งกลุ่มเปาะบางต่างๆ ในมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด และหน้าที่หลักเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ถึงแม้เกิดความผิดพลาดในการก่อเหตุได้ ทั้งนี้ ได้มีการสั่งเพิ่มมาตรการจัดตั้งหน่วยทางยุทธวิธี ในการติดตามการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่เกิดเหตุรุนแรง ทั้ง อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และรอยต่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี พื้นที่เกิดเหตุยิงชาวไทยพุทธ ที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ลอบยิงอดีตอุสตาซ ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รวมทั้งพื้นที่ระเบิด สภ.โคกเคียน จ.นราธิวาส โดยใช้มาตรการสูงสุด ในการบรูณาการร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ในการติดตามผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมา ทุกคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ ได้เร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด
ต้องขอเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า กลุ่มผู้นิยมความรุนแรง ถูกสร้างขึ้นมา ถูกบิดเบือน ถูกพ่มเพาะมาให้อยู่กับการใช้ความรุนแรง เป็นผู้กระทำ มาก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ให้เกิดความเสียหายและสูญเสีย ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน ซึ่งเกิดจากการบ่มเพาะ การปลูกฝังมา ขอให้คิดว่า หลายๆ อย่างที่ขบวนการเรียกร้องในอดีต ไม่ว่าการปกครอง การกระจายอำนาจ สิทธิต่างๆ ก็ได้รับผลทั้งหมดแล้ว อย่าให้เรื่องในอดีตของคนบางคน ในการสูญเสียประโยชน์และการต่อสู้เรียกร้องเรื่องอำนาจ มาปลูกฝังคนปัจจุบัน ทำไมไม่มาร่วมแก้ปัญหา อยากให้ทุกคนมาร่วมกันดูแลประชาชนในพื้นที่ ให้อยู่ดีกินดี มีเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่รัฐจะติดตามบังคับใช้กฎหมาย และควบคุมพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุ ในส่วนของเหตุที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐขอย้ำว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหลักการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน