เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 68 เพจ GroundControl ได้เผยเรื่องราวจากการรายงานของเว็บไซต์ BBC โดยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ‘สีใหม่’ ที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐ เผยว่า พวกเขาค้นพบสีใหม่ที่ไม่เคยมีใครในโลกมองเห็นมาก่อน เป็นสีเฉดน้ำเงินอมเขียวที่เข้มข้นและอิ่มตัวกว่าสีใด ๆ ที่เราเคยเห็น ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยการกระตุ้นเซลล์รับแสงในดวงตาด้วยวิธีเฉพาะทางเท่านั้น สีนี้มีชื่อว่า ‘โอโล’ (Olo)
การทดลองนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances โดยนักวิจัยได้ยิงเลเซอร์เข้าไปในดวงตาของอาสาสมัคร 5 คนที่มีการมองเห็นสีปกติ ผ่านอุปกรณ์ชื่อว่า Oz ซึ่งประกอบด้วยกระจกและระบบแสงที่ซับซ้อน พัฒนาร่วมกันโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย UC Berkeley และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน จุดประสงค์คือเพื่อกระตุ้นเซลล์รับสีในจอประสาทตาแบบเจาะจง
ในดวงตาของเรา มีเซลล์รับสีอยู่ 3 ชนิด คือ S (รับแสงสีน้ำเงิน), M (เขียว) และ L (แดง) โดยทั่วไปแสงที่มากระทบเซลล์เหล่านี้มักจะกระตุ้นหลายเซลล์พร้อมกัน เพราะช่วงคลื่นแสงของมันซ้อนทับกันอยู่ แต่ในการทดลองนี้ นักวิจัยใช้เลเซอร์ที่ปรับให้กระตุ้นเฉพาะเซลล์ M อย่างเดียว ทำให้สมองได้รับสัญญาณในรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการมองเห็นธรรมชาติ จนทำให้ผู้ทดลองมองเห็นสีใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตจริง
ศาสตราจารย์เรน อึง หนึ่งในนักวิจัยที่เข้าร่วมการทดลองด้วย เล่าว่า ความรู้สึกที่ได้เห็นสีโอโล เหมือนกับว่าคุณใช้ชีวิตมองเห็นแต่สีชมพูอ่อนมาตลอด แล้ววันหนึ่งมีคนใส่เสื้อที่เป็นชมพูเข้มที่สุดที่คุณเคยเห็น และบอกว่าสีนั้นคือสีใหม่ที่เรียกว่า ‘แดง’ นั่นคือระดับของความแตกต่างที่เขารู้สึกเมื่อได้เห็นโอโล
แม้การค้นพบนี้จะน่าทึ่ง แต่ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่ไม่มั่นใจว่ามันคือ ‘สีใหม่’ จริง ๆ หรือเป็นเพียงแค่ประสบการณ์การรับรู้สีที่แตกต่างจากปกติ ศาสตราจารย์จอห์น บาร์เบอร์ จากมหาวิทยาลัย St George’s ในลอนดอน กล่าวว่า เรื่องนี้ยังต้องถกเถียงกันต่อ เพราะแม้การกระตุ้นเซลล์รับสีเพียงชนิดเดียวจะทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเรียกได้ว่าเป็นสีใหม่ที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยังคงศึกษาต่อไป โดยเฉพาะในด้านการช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะตาบอดสี เพราะหากเข้าใจการรับรู้สีในระดับลึกมากขึ้น ก็อาจนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการมองเห็นสำหรับผู้ที่แยกแยะสีได้ยากในอนาคต การค้นพบ ‘โอโล’ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสีเท่านั้น แต่อาจเป็นก้าวสำคัญในการเข้าใจสมองและการรับรู้ของมนุษย์ที่ซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
