นั่นเพราะหากเจาะลึกลงไปจะเห็นว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล”ดังกล่าวมักถูกล้วงออกไปผ่านโซเชียลมีเดีย ก่อนนำไปขายให้กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย กลายเป็นช่องว่าง เป็นโจทย์ใหญ่ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ
ไม่นานนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.ตอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบช.สอท.1 พล.ต.ต.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 ผนึกกำลัง พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC พร้อมทีมงาน ปราบปรามการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ เพื่อการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์
สุดท้ายนำไปสู่การตั้งชุด “Cyber Eye”และ“Eagle Eye” ทำหน้าที่ตรวจจับและป้องกันการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล
พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า ตามที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับ พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามมาตรา 11/2 ได้กำหนดเกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้ที่ครอบครอง รวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ในการที่จะมีผู้นำข้อมูลนั้นไปใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือกระทำผิดกฎหมายอาญาอื่น โดยเลขา สคส. หรือ PDPC นำทีมงานชุดคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Eagle Eye ของ PDPC มาปฏิบัติงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(มาตรา 11/2 ผู้ใดใช้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดเก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อนำไปใช้หรือให้บุคคลอื่นใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติในวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองได้กระทำโดยซื้อ เสนอซื้อ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน เสนอแลกเปลี่ยน หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
ขณะที่ตำรวจไซเบอร์มีการตั้งชุด Cyber Eye ปฏิบัติงานควบคู่กับ Eagle Eye ที่เปรียบเสมือน“ตาซ้าย”และ “ตาขวา”ในการป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์ และเฝ้าระวังการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน โดยมี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบช.สอท.1 เป็นผู้ประสานงาน และหัวหน้าชุดCyber Eye ที่จะปฏิบัติงานคู่กับ Eagle Eye ของ PDPC
ด้าน พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันนอกจากจะมีประโยชน์เกี่ยวกับข้อมูลทางเศรษฐกิจ สังคมดิจิทัล แล้วยังมีผลต่อการสร้างความสงบเรียบร้อยกับสังคมด้วย เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมปัจจุบันล้วนมีต้นตอมาจากข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหล มีการขายและนำมาใช้ให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของ
Web
ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯฯที่มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ครอบครอง เก็บรวบรวมเพื่อใช้หรือให้บุคคลอื่นนำไปใช้เกี่ยวกับการกระทำผิดก็จะมีโทษทางอาญา
PDPC จึงมีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนให้เต็มศักยภาพที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีภารกิจสอดคล้องกับตำรวจไซเบอร์ในการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคมว่า การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ใครทำก็ต้องรับโทษ.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน