เมื่อวันที่ 24 -25 เมษายน 2568 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจัดงานสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางในการพัฒนาบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นย้ำแนวทางการทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ในวันที่ 24 เมษายนภายในงานมีกิจกรรมหลากหลาย โดยเฉพาะการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “25 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน:ก้าวต่อไปในการเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม” โดย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ตลอดจนปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “วิถีไทยกับกลุ่มเปราะบาง” โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และการบรรยายทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน และภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ศาสตร์ และปรัชญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ ดร.ปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกฎหมายและกลไกการทำงาน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต กล่าวถึงทิศทางใหม่ของผู้ตรวจการแผ่นดินในการเป็นที่พึ่งของประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม จากประสบการณ์ 25 ปี ที่ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐนำมาเป็นแผนพัฒนายกระดับการทำงานใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาเชิงรุกโดยเปลี่ยนแนวทางจากการรอรับเรื่องร้องเรียน มาเป็นการลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนปัจเจกบุคคลและปัญหาเชิงระบบที่กระทบต่อประชาชนส่วนรวม , การพัฒนาองค์กรสู่ดิจิทัลเพื่อยกระดับการบริหารจัดการภายใน ตั้งแต่ระบบรับเรื่องร้องเรียน การตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปจนถึงการติดตามผลให้เกิดความโปร่งใส รวดเร็ว และตรวจสอบได้ ,การสร้างเครือข่ายองค์กรธรรมาภิบาลโดยส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันการใช้อำนาจที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่และสร้างกลไกป้องกันความไม่เป็นธรรมในสังคม ,การปรับตัวให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมุ่งเน้นประโยชน์ประชาชนปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นหลัก

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ เสนอแนะเพื่อปรับปรุงกฎหมายตามบทบาท หน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งการเพิ่มให้เสนอแนะต่อสภาได้ด้วย รวมถึงเสนอให้มีอำนาจบังคับในข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐ เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้าน ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ ให้ข้อคิดเห็นว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินยังมีข้อจำกัดในเรื่องความรวดเร็ว ในการดำเนินการ และอำนาจในการระงับปัญหาความเดือดร้อนชั่วคราว พร้อมเสนอแนวทางเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานเชิงรุก รวมถึงเพิ่มอำนาจในการคุ้มครอง ชั่วคราวเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนในระหว่างการพิจารณาเรื่องร้องเรียน

ขณะที่ ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต กล่าวถึงแนวคิดการดำเนินการตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของ รัฐที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ อีกทั้งผลักดันให้หน่วยงานของรัฐทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำถึงการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชนตามหมวดห้าหน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ด้าน ดร.ปัญญา อุดชาชน เน้นเรื่องการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งในด้านการเสนอแนะเชิงรุกในการป้องกันปัญหาของประชาชน และการปฏิบัติตามพันธกิจร่วมกับสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อแก้ไขอุปสรรคในการยื่นคำร้องทุกข์ทางรัฐธรรมนูญของประชาชน

นอกจากนี้ ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย ยังกล่าวถึงแนวทาง “วิถีไทย” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลกลุ่มเปราะบางในสังคมอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานได้อย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม
การสัมมนาครั้งนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของผู้ตรวจการแผ่นดินในฐานะกลไกกลางที่มีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรมจากการใช้อำนาจของรัฐ โดยเฉพาะในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการส่งเสริมการบริหารงานภาครัฐที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงได้จัดเสวนาหัวข้อ “ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง: การแก้ไขความเดือดร้อนให้ประชาชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสนอแนวทางการพัฒนากลไกที่ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และสนับสนุนการพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง

โดยดร.วันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เน้นย้ำความสำคัญของธรรมาภิบาลว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเสนอแนวทางบริหารภาครัฐที่โปร่งใส คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พร้อมชูบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินในฐานะกลไกสำคัญในการตรวจสอบ ถ่วงดุล และเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้แสดงความเห็นว่า ภาครัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนหลักธรรมาภิบาลผ่านการบริหารที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ดัชนีชี้วัดคุณธรรม” ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนระดับคุณธรรมและธรรมาภิบาลในองค์กรและสังคมไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และความโปร่งใส ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารงานภาครัฐที่ดี
ด้าน อาจารย์ต่อวงศ์ ปุ้ยพันธวงศ์ ประธานเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาล โดยชี้ว่า หน่วยงานภาครัฐควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีบทบาทในการเสนอแนะ ติดตาม และร่วมตัดสินใจ เพื่อให้การดำเนินงานภาครัฐเป็นไปอย่างโปร่งใสและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

สำหรับการเสวนาช่วงสุดท้ายเป็นการเสวนาหัวข้อ “บทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินในการส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 16” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16: สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง โดยผู้ตรวจการแผ่นดินมีบทบาทในการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ สนับสนุนธรรมาภิบาลให้หน่วยงานรัฐมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ อันเชื่อมโยงกับเป้าหมายย่อย อาทิ เป้าหมาย 16.3 การเข้าถึงความยุติธรรม, เป้าหมาย 16.6 ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ, เป้าหมาย 16.7 การมีส่วนร่วมของประชาชน และเป้าหมาย 16.a การเสริมสร้างสถาบันรัฐให้เข้มแข็ง ซึ่งเวทีนี้เป็นการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินและองค์กรภาคีทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมธรรมาภิบาลในทุกระดับ และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน

โดยนายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16 ที่มุ่งส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุม เพิ่มการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับทุกคน และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และครอบคลุมในทุกระดับ พร้อมเน้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และรับฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และยังมีบทบาทสำคัญในการเสนอแนะแนวทางเชิงระบบให้หน่วยงานรัฐปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ SDGs โดยเฉพาะในด้านการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส และความยุติธรรม เช่น การเสนอแนะการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ หรือแนวปฏิบัติที่เป็นอุปสรรคต่อความทัดเทียมและมีความเหลื่อมล้ำ ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมถึงติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีผลลัพธ์จริง

การสัมมนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีของผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและส่งเสริมธรรมาภิบาล พร้อมเปิดตัวหนังสือ “25 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน : เส้นทางแห่งความเป็นธรรม” รวมกรณีศึกษาเด่น 25 เรื่อง เผยแพร่ในรูปแบบ E-Book ผ่านเว็บไซต์ www.ombudsman.go.th ติดตามได้ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป
“หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากข้าราชการ พนักงานของรัฐ ใช้สิทธิร้องเรียนไม่เพียงเพื่อตัวท่านแต่เพื่อส่วนรวม” สามารถร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) ได้ผ่านช่องทางดังนี้:
– สายด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน โทร 1676 (โทรฟรีทั่วประเทศ)
– ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์สำนักงาน www.ombudsman.go.th
– ร้องเรียนผ่าน Application “ผู้ตรวจการแผ่นดิน”
– ร้องเรียนทางไปรษณีย์ ส่งถึงสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 เลขที่ 120 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210