เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงผลคดีพิพาทเกี่ยวกับที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (อุทธรณ์คำพิพากษา) โดยผู้ฟ้องคดีประกอบด้วย นายอุทัย พรมนารี ผู้ฟ้องคดีที่ 1 นายคะนึงกิจ ลิ้มตระกูล ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นายปรีชา แสงเทียน ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายสุทัศน์ คงแย้ม ผู้ฟ้องคดีที่ 4 นายศักดิ์ชัย จงกิจวิวัฒน์ ผู้ฟ้องคดีที่5 และน.ส.จุฬาวัลย์ พรหมสุวรรณ ผู้ฟ้องคดีที่ 6 โดยผู้ถูกฟ้องคดี คือ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
โดยคณะนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกยื่นอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งหกเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ดำรงตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ โดยผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 และผู้ฟ้องคดีที่ 5 สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 3 ผู้ฟ้องคดีที่ 4 และผู้ฟ้องคดีที่ 6 สังกัดกรมป่าไม้ ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานต้นสังกัดเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการสูง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) สำกัดสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ
คณะกรรมการคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นดำรงตำแหน่งอำนวยการระดับสูงฯ ตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่ 327/2558 ลงวันที่ 6 ต.ค.2558 ได้พิจารณาคัดเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อปรากฏว่า ผู้ฟ้องทั้งหกไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อเลื่อนคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นดำรงตำแหน่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคำสั่งที่ 1 ได้มีคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่ 100-106/2559 ลงวันที่ 29 ก.พ.59 ย้ายข้าราชการจำนวน 6 ราย และรับโอนข้าราชการจำนวน 12 ราย รวมเป็น 18 ราย ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก (ประเภทผู้อำนวยการระดับสูง) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 เห็นว่ากระบวนการในการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูงดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนการคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นดำรงตำแหน่งระดับ 9 ระดับ 10 และระดับ 11 ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ นร.0708.1/ว 22 ลงวันที่ 20 ก.พ.2540 และหนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ นร.1003/ว22 ลงวันที่ 18 มิ.ย. 2553 เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ จำนวน 5 คน ที่ อ.ก.พ.กระทรวงแต่งตั้งนั้น มีผู้ถูกฟ้องร้องคดีที่ 1 เป็นประธานคณะกรรมการและกรรมการในขณะเดียวกัน ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนด ซึ่งกำหนดให้มีกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน
ดังนั้นคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่ 327/2558 ลงวันที่ 6 ต.ค.2558 ที่แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการสูง โดยมีผู้ถูกฟ้องที่ 1 เป็นทั้งประธานกรรมการและกรรมการ จึงมีกรรมการคัดเลือกเพียง 4 คน อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการสอบสัมภาษณ์ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีสิทธิออกเสียงในการคัดเลือกถึง 2 เสียง จึงขัดกับหลักเกณฑ์ประเมินบุคคลให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะแต่งตั้งตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 ที่บัญญัติให้คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ และประวัติการรับราชการ และจะต้องมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถแล้วเป็นหลัก แต่คณะกรรมการคัดเลือกฯ กลับมุ่งเน้นการประเมินโดยวิธีการสอบสัมภาษณ์ และคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯที่ 100-106/ 2559 นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้ระบุความสามารถที่จะได้รับการแต่งตั้งพร้อมเหตุผลในการแต่งตั้งข้าราชการทั้ง 18 ราย ดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนที่ ก.พ.กำหนด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นพิพากษาตามคำขอท้ายคำฟ้อง
ทั้งนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับ 9 ระดับ 10 และระดับ 11 .ในท้ายหนังสือก.พ. ที่ นร 0708.1/ว 22 ลงวันที่ 20 ก.ย.2540 กำหนดให้ 1.อ.ก.พ.กระทรวงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน เพื่อพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับ 9 และระดับ 10 ที่ว่างในกระทรวงหรือกรมในสังกัดนั้น เป็นคำสั่งที่มีองค์ประกอบของกรรมการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนด แต่นอกจากจะต้องมีองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะต้องมีจำนวนขั้นต่ำอย่างน้อย 5 คนอีกด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาคำสั่งดังกล่าว เห็นได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำรงตำแหน่งเป็นทั้งประธานกรรมการ เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในกระทรวงรองจากรัฐมนตรี ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 และเป็นทั้งกรรมการ ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่มีตำแหน่งว่าง เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว พร้อมกันสองตำแหน่ง
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการคัดเลือกฯ ทั้งสองตำแหน่งในขณะเดียวกัน มีผลทำให้จำนวนกรรมการในคณะกรรมการคัดเลือกฯ ไม่ครบจำนวนกรรมการขั้นต่ำอย่างน้อย 5 คน ตามที่ ก.พ.กำหนด และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ ก.พ. ที่ต้องการให้การกลั่นกรองเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงขึ้นไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และสอดคล้องกับอำนาจการสั่งบรรจุ โดยคำนึงถึงระบบราชการและประโยชน์ที่ราชการพึงได้รับ อีกทั้งกรรมการคัดเลือกที่ประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการะดับกรมที่มีตำแหน่งว่างเท่านั้น อ.ก.พ.กระทรวงทรัพยากรฯ สามารถพิจารณาแต่งตั้งจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาตำแหน่งว่างตามที่ อ.ก.พ.กระทรวงเห็นสมควรได้ เพื่อที่จะได้ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งเฉพาะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายชื่อกรรมการผู้เข้าร่วมประชุมในการประชุมครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 59 ทำให้เห็นว่า กรรมการในคณะกรรมการคัดเลือกฯ คณะนี้มีคณะกรรมการจริงเพียงแค่ 4 คน ดังนั้นการดำเนินการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการสูง และตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ ดังกล่าว จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่กำหนดให้มีจำนวนกรรมการขั้นต่ำอย่างน้อย 5 คน เป็นเหตุให้การดำเนินการของคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพื่อเลื่อนข้าราชการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้นำผลการพิจารณาคัดเลือกฯ ที่ดำเนินการมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวมาพิจารณาและมีคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ แต่งตั้งข้าราชการจำนวน 18 ราย ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักฯ จึงมีผลทำให้คำสั่งย้ายและรับโอนข้าราชการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำวินิจฉัย เรื่องดำที่ 5920030 เรื่องแดงที่ 0058259 ลงวันที่ 13 ก.ย.2559 ยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหก โดยอาศัยข้อเท็จจริงและกฎหมายเดียวกัน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ส่วนคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหกในประเด็นอื่น ไม่จำเป็นต้องวินิฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของเปลี่ยนไป
ส่วนการที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ตุลาการผู้แถลงคดีไม่เห็นพ้องด้วย โดยสรุปตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่าคดีนี้ควรพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นเพิกถอนคำสั่งกระทวงทรัพยากรฯ ที่ 100-106/2559 ลงวันที่ 29 ก.พ.2559 ที่ย้ายข้าราชการจำนวน 6 ราย และรับโอนข้าราชการ จำนวน 12 ราย รวมเป็น 18 ราย ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักฯ และคำวินิจฉัยร้องทุกข์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ลงวันที่ 13 ก.ย. 2559 ที่ยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหก ทั้งนี้โดยให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว
ทั้งนี้กรณีการฟ้องร้องคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยนายเกษมสันต์ จิณณวาโส เป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ในช่วงปี 2558-2559 โดยใช้เวลาในการพิจารณาเกือบ 10 ปีกว่าคดีความในศาลปกครองจะสิ้นสุด ซึ่งข้าราชการทั้ง 6 ราย รวมทั้งปลัดกระทรวงฯ ต่างเกษียณอายุราชการไปหมดแล้ว ซึ่งผู้ฟ้องคดีมองว่าคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายที่เกิดขึ้นไม่ชอบธรรม และทำให้สูญเสียโอกาสเติบโตในหน้าที่ราชการ โดยจากนี้จะมีการพิจาณาว่าจะดำเนินการฟ้องร้องอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ตาม 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเพื่อเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการรุ่นหลังได้เห็นเป็นตัวอย่างต่อไปหรือไม่.