สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ยืนยัน การพบหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือมหาวิหารนักบุญเปโตร ที่กรุงวาติกันซิตี นครรัฐวาติกัน ระหว่างการร่วมพิธีปลงพระศพ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การพบหารือใช้เวลานานประมาณ 15 นาที และเป็นการที่ผู้นำทั้งสองประเทศพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่การโต้เถียงกันอย่างดุเดือดที่ทำเนียบขาว เมื่อปลายเดือนก.พ. ที่ผ่านมา
Good meeting. We discussed a lot one on one. Hoping for results on everything we covered. Protecting lives of our people. Full and unconditional ceasefire. Reliable and lasting peace that will prevent another war from breaking out. Very symbolic meeting that has potential to… pic.twitter.com/q4ZhVXCjw0
— Volodymyr Zelenskyy / Володимир Зеленський (@ZelenskyyUa) April 26, 2025
ด้านเซเลนสกีกล่าวว่า “หารือหลายเรื่องแบบตัวต่อตัว” กับผู้นำสหรัฐ รวมถึง “การหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข” กับรัสเซีย และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนและน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะไม่เกิดสงครามปะทุซ้ำอีก พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า แม้การพบหารือกันครั้งนี้ “อาจเป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์” แต่ผลของการหารือ “อาจเป็นประวัติศาสตร์” หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุผลร่วมกัน
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) April 26, 2025
แม้ทำเนียบขาวไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการสนทนาระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกี แต่ทรัมป์กล่าวเองในเวลาต่อมา ว่าการที่รัสเซียยังคงโจมตีเมืองใหญ่หลายแห่งของยูเครน ทำให้เขาสงสัยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ต้องการยุติสงครามจริงหรือไม่ หรือเขาจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมกับอีกฝ่าย รวมถึง “การคว่ำบาตรแบบทุติยภูมิ” ที่รวมถึงการกดดันไม่ให้ประเทศอื่นทำธุรกรรมร่วมกับรัสเซีย
ขณะที่ทำเนียบเครมลินยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐกับผู้นำยูเครน แต่ออกแถลงการณ์ว่า ปูตินพบหารือกับนายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลสหรัฐ ที่ทำเนียบเครมลิน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบหารือครั้งที่ 4 แล้วระหว่างทั้งคู่ และปูตินกล่าวว่า พร้อมหารือโดยตรงกับยูเครน “โดยปราศจากเงื่อนไข”.
เครดิตภาพ : AFP